เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เปลือยชีวิตนางเอกลูกครึ่ง 3 สัญชาติ “เนเน่-พ้อไต ต้อ (Pottheai theug)” วัย 24 ปี จากเด็กสาวชาวกะเหรี่ยงเรียนจบแค่ชั้นม.1 พาร่างเล็กๆ เดินทางเข้ามาเป็น “แม่บ้าน” ในเมืองไทยตัวคนเดียวเพื่อหาเงินล้างหนี้ให้ครอบครัว ซึ่งกว่าจะก้าวขึ้นเป็นนักร้อง และนางเอกขวัญใจชาวกะเหรี่ยง ต้องบอกว่า ระหว่างทางเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และหยดน้ำตา…

นางเอกกะเหรี่ยงสู้ชีวิต

– เข้าวงการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ด้วยความสามารถด้านการร้องเพลง
– มีมิวสิกวิดีโอเป็นของตัวเองครั้งแรกในปี 2011
– มีผลงานหนังมาแล้ว 4 เรื่อง ล่าสุดกับเรื่อง The Fate ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากพี่น้องชาวกะเหรี่ยง และพม่า ทั้งที่อยู่ในพม่า และในไทยเหมือนเรื่องที่ผ่านๆ มา
– ดูแลธุรกิจช่องยูทูป, รับรีวิวสินค้า และอื่นๆ อีกยิบย่อย

ทั้งหมดนี้ คืองานที่ทำให้บัญชีรายรับของเธอมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจนสามารถซื้อบ้าน ซื้อรถ และเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างสบายๆ แต่กว่าชีวิตจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักถึงหนักที่สุด และเธอก็พร้อมที่เปลือยชีวิตทั้งหมดในบรรทัดต่อจากนี้

“หลังจบชั้นม.1 ที่ประเทศพม่า เนเน่ตัดสินใจเดินทางเข้ามาทำงานในไทยเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อ เริ่มจากเป็นแม่บ้าน แม้ตัวจะเล็ก ดูไม่ค่อยน่าเชื่อว่าจะมีแรงทำงานได้ แต่ก็สามารถพิสูจน์ให้นายจ้างเห็นว่า ถึงตัวเล็กแต่ขยันขันแข็ง หนักก็เอา เบาก็สู้ จึงได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่”

เธอเริ่มต้นย้อนวันวานที่แสนลำบาก เพราะครอบครัวไม่มีเงินเพียงพอที่จะส่งเรียนต่อในระดับชั้นสูงๆ แถมยังมีหนี้สินติดตัวจำนวนมาก และนี่คือเหตุผลที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านตัดสินใจเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย

“ตอนนั้นพี่ชายและน้องชายตัวเล็กมากค่ะ พี่ชายเป็นเณรอยู่ในวัดที่ย่างกุ้ง ส่วนเราเป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้ ครอบครัวเราก็คงต้องอยู่แบบนี้ หนี้สินมันก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเอาบ้านไปจำนองแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลย เนเน่จึงตัดสินใจเข้าไทยเพื่อหาเงินมาช่วยแบ่งเบา และล้างหนี้ให้ครอบครัว

โชคดีที่เนเน่พอจะมีญาติอยู่ในไทย ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยความสงสาร เขาก็เลยฝากเนเน่ให้เข้าไปเป็นแม่บ้านในบ้านของเจ้านาย ตอนนั้นทำทุกอย่าง ตั้งแต่ถูบ้าน เช็ดกระจก เก็บบ้าน กวาดบ้าน คือมันเหนื่อยนะ คิดถึงบ้านด้วย แต่ก็ต้องสู้ คิดอยู่อย่างเดียวคือ ทำเพื่อครอบครัวของเรา

ตอนนั้นร้องไห้ทุกวัน ร้องจนต้องไปเจอหน้าญาติเกือบทุกวัน ไม่เช่นนั้นนอนไม่หลับ เพราะไม่เคยอยู่ห่างจากพ่อแม่เลย ถามว่าทำไมพ่อแม่ถึงปล่อยให้ออกมาทำงานในเมืองไทยคนเดียว คือพวกเขาก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ ส่วนเราก็ไม่อยากเห็นครอบครัวต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น จริงๆ เนเน่เป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก ครูก็เสียดาย แต่เราก็เลือกไม่ได้ เพราะครอบครัวเรากำลังแย่”

ถามถึงเงินเดือนก้อนแรกในการเป็นแม่บ้าน “4,000 บาท” คือยอดเงินที่เธอเอ่ยขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นถึงหัวใจที่สวยไม่แพ้ใบหน้าของเธอ “แต่เนเน่เลือกที่จะส่งให้ครอบครัว 3,500 บาท ส่วนตัวเองใช้เพียงแค่ 500 บาทต่อเดือน ถามว่าพอไหม คือเราไม่ต้องจ่ายอะไรมาก เพราะกินฟรี อยู่ฟรี แลกกับการทำงานบ้านให้นายจ้าง หลังจากทำงานมาได้ 2 ปี นายจ้างก็เพิ่มเงินให้อีก 500 บาท เป็น 4,500 บาท จากนั้นก็เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รับโอกาสดีๆ จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง” และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอ

“เนเน่ทำงานบ้านอยู่ 2 ปี จากนั้นมีพี่คนหนึ่งสนใจ เขาบอกว่า เขาชอบเสียงเรามาก ก่อนจะชวนให้ไปเทสต์เสียง คือตอนนั้นชอบนะ แต่ลึกๆ ก็คิดว่าคงทำไม่ได้ สุดท้ายก็ได้ทั้งร้อง และเป็นนักแสดงอยู่ในเพลงของตัวเอง (หัวเราะ) จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 6 ปีแล้ว หลายคนพอย้อนกลับไปดู ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า จำไม่ได้เลย ไม่เชื่อว่าเป็นเนเน่ (หัวเราะ)”

ผู้หญิงร้องเพลง = ผู้หญิงไม่ดี

แม้ว่าจะได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ แต่ครอบครัวกลับไม่เห็นด้วย สั่งให้หยุดทำ เพราะผู้หญิงที่ยึดอาชีพร้องเพลง (ในสมัยนั้น) คือผู้หญิงไม่ดี

“ที่บ้านไม่ชอบเลยคะ ด้วยความเป็นผู้หญิง และอยู่ไกลบ้านคนเดียว ทางบ้านก็กลัวอันตราย บวกกับความคิดที่ว่า ผู้หญิงร้องเพลง ถ่ายมิวสิกวิดีโอ คือผู้หญิงไม่ดี และมักจะถูกติฉินนินทาจากคนในหมู่บ้าน ทำให้แม่ทนไม่ได้ บอกให้หยุดทำ ตอนนั้นจำคำที่แม่บอกได้เลยว่า ‘เงินที่หามาได้ แม่ใช้มันไม่ลงหรอก’ เช่นเดียวกับญาติในกรุงเทพฯ ที่ไม่มีใครเห็นด้วยเลยสักคน

 

 

ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก เพราะกลัวว่าจะเสียโอกาส ทางเดียวที่จะได้ร้องเพลงต่อไปก็คือ การโกหกเพื่อให้ทุกคนสบายใจ กระทั่งความแตกในวันไปร้องเพลงที่บ้านสุขาวดี พัทยา ซึ่งที่นี่มีคนพม่า คนกะเหรี่ยงเยอะมาก เมื่อมีคนพูดถึงเรามากขึ้น เรื่องก็รู้ไปถึงหูแม่ และญาติๆ แต่ด้วยความตั้งใจทำเพื่อครอบครัว อยากหาเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน อย่างการมาร้องเพลงในครั้งนี้ เงินดีมาก ได้ค่าตัว 7,000 บาท ไม่รวมค่าทิป รวมๆ แล้วหมื่นกว่าบาท ซึ่งพวกเขาก็ค่อยๆ ยอมรับ และเป็นกำลังใจให้เรามาถึงจนถึงทุกวันนี้

เอาจริงๆ นะคะ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาไกลได้ถึงขนาดนี้เหมือนกันนะ เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร (หัวเราะ) ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ โชคดีที่เกิดมาไม่ขี้เกียจ ไม่ย้อท้อ และไม่ละความพยายาม จนผู้ใหญ่มอบโอกาสดีๆ กระทั่งมีงาน มีเงินเข้ามาเลี้ยงดูตัวเอง และครอบครัวได้”

สาวน้อยขวัญใจชาวกะเหรี่ยง

ปัจจุบันเธอคือนักแสดงสาวขวัญใจชาวกะเหรี่ยงวัย 24 ปี ด้วยรูปร่างสันทัด ความสูง 160 เซนติเมตร หนัก 44 กิโลกรัมผสมกับรอยยิ้มที่เผยให้เห็น “เขี้ยวเสน่ห์” ไม่แปลกที่เธอจะเป็นสาวน้อยผู้สร้างสีสันให้กับกองถ่าย และภาพยนตร์ อย่างเรื่อง The Fate ซึ่งเป็นผลงานเรื่องล่าสุดของเธอ

“ตอนนี้มีถ่ายหนังอยู่ค่ะ เรื่อง The Fate ซึ่งตอนแรกจะทำเป็นหนังสั้น แต่มีการคุยกันใหม่ว่าจะฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย ก็เลยยืดเรื่องออกไป แต่ก่อนเรื่องนี้มีอีกเรื่องหนึ่งชื่อว่าจิชา ถ่ายทำเสร็จแล้ว เป็นเรื่องราว 2 ภพ 2 ชาติ มีการอิงความเชื่อในเรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เป็นความเชื่อของคนในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทาย เพราะแต่ละฉากมีความขลัง มีความตื่นเต้นมากๆ”

เช่นเดียวกับเรื่อง The Fate ที่เถ้าแก่โรงแรมดังในเมียวดี ประเทศพม่า หัวเมืองชายแดนตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ทุ่มทุนสร้าง เพื่อตีแผ่เรื่องราวโชคชะตาของชนชาวกะเหรี่ยงที่เคยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ในพม่า ก่อนจะพลิกผันมาเป็นชนกลุ่มน้อยที่เคยจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าในอดีตมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันกำลังถ่ายทำกันอยู่ที่เมียวดีเพื่อที่จะนำออกฉายกันในห้วงต้นปี 60 นี้

สำหรับบทบาทในเรื่องนี้ แม้จะเป็นบทหนัก ต้องจับอาวุธและยิงปืน วิ่งฝ่าดงระเบิดโดยไม่ใช้สแตนด์อิน แต่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ท้าทายในการเป็นนักแสดงของเธอ

“ต้องแข็งแรงไว้ก่อนค่ะ (หัวเราะ) เพราะในบทเนเน่แสดงเป็นทหารฝ่ายกะเหรี่ยง เป็นนางเอกคู่ที่สอง เป็นภรรยาของหัวหน้าเคนยู ต้องสู้ชีวิตทุกอย่าง ต้องอยู่ในป่า อยู่กับการฝึกรบตลอดเวลา พอมียิงกัน หรือมีระเบิดเราก็ต้องวิ่งตามเขาไปทุกที่ ดังนั้นร่างกายเราต้องพร้อมค่ะ ส่วนปืนก็ไม่ใช่เบาๆ เป็นปืนจริง ซึ่งก็หนักพอสมควร กลับถึงบ้านปรากฏว่ามือเท้าช้ำไปหมด แต่ส่วนตัวรู้สึกไม่ท้อนะ โหดแต่สนุกค่ะ เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นบทโหดๆ (หัวเราะ)

 

 

หลายคนถามว่า ทำไมตัดสินใจเล่นเรื่องนี้ เพราะมันหนักมากๆ นะ แต่ที่ผ่านมา เนเน่เล่นมาหมดแล้ว ซึ่งบทหนักๆ แบบนี้ยังไม่เคยเล่นมาก่อน เมื่อมีโอกาสจึงไม่พลาดที่จะคว้าเอาไว้ เพราะการเป็นนักแสดง เราต้องเล่นได้หมด แม้เรื่องนี้จะทำให้เนเน่ตัวดำ กล้ามขึ้นมานิดนึงก็ตาม” พูดจบก็หัวเราะยาว ก่อนจะเผยถึงเคล็ดลับในการดูแลตัวเองด้วยกินผัก ผลไม้ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญคือไม่เครียด

เมื่อถามว่าคนไทยจะมีโอกาสได้ดูหนังพร้อมบทบรรยายไทยหรือไม่ เนเน่ บอกว่า ได้ดูแน่นอน เพราะส่วนตัวเป็นคนดูแลช่องยูทูปเกี่ยวกับหนังและเพลงของพม่า โดยก่อนหน้านี้เคยมีรายการสอนภาษาพม่าสำหรับคนไทยทางช่องยูทูป Poe Karen Song Channel ซึ่งเป็นช่องทางที่เธอดูแลอยู่

“นอกจากหนัง และดูแลธุรกิจช่องยูทูปแล้ว ยังมีผลงานเพลงด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังทำอัมบั้มเดี่ยวอยู่ค่ะ ถามว่าระหว่างงานเพลงกับงานหนัง ชอบอะไรมากกว่ากัน ตอนนี้เนเน่รู้สึกว่า ตัวเองชอบหนังมากกว่านะ แม้จะเข้าวงการมาจากการร้องเพลงก็ตาม ส่วนเหตุผลว่าทำไมชอบหนังมากกว่า ส่วนตัวมองว่า ได้ทำอะไรมากขึ้น และที่สำคัญคือ เข้าถึงกลุ่มคนมากกว่า

ส่วนอนาคตในวงการแสดง ตอนนี้มองไกลๆ ไว้ว่า อยากทำงานเบื้องหลัง เช่น ผู้สร้างหนัง ผู้กำกับ หรือถ้ามีโอกาสดีๆ จากผู้ใหญ่ในวงการหนัง หรือละครไทย เนเน่ก็ยินดีค่ะ อย่างตอนนี้ก็มีงานโฆษณาให้กับฝั่งไทยอยู่หลายชิ้นค่ะ มีทั้งน้ำยาทาเล็บ อาหารเสริม ครีมกันแดด เป็นต้น”

ปัจจุบัน แม้จะมีคนติดตามในสื่อโซเชียลฯ จำนวนมาก แต่กลับไม่มีผู้จัดการส่วนตัวเหมือนนักแสดงไทยหลายคน

“เนเน่ดูแลเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะไปงานอะไรก็ตาม เนเน่จะแต่งหน้า ขับรถไปเอง เพราะเราทำอะไรเองมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกวันนี้ภูมิใจที่ทำงานหาเงินซื้อบ้านให้พ่อแม่ และซื้อรถให้ตัวเองได้ ครอบครัวเนเน่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากค่ะ ไม่มีหนี้อะไรแล้ว เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เป็นหนี้ 3 หมื่นบ้านถือว่าเยอะนะสำหรับครอบครัวเนเน่ บ้านก็เอาไปจำลองหมด พูดง่ายๆ คือ ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ตัว”

รักนะ..แต่ไม่แสดงออก

เมื่อเอ่ยถึงครอบครัว แม้ว่าเธอจะเปิดใจตรงๆ ว่าไม่ได้แสดงความรักต่อกันชัดเจนเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่ลึกๆ แล้วทุกคนรู้ดีว่า รัก และเป็นห่วงกันมาก

“อย่างเนเน่ เวลาถามแม่ว่ามีเงินใช้มั้ยคะ แม่ก็บอกว่า ก็..มีอยู่ แบบนี้แสดงว่าไม่มี (หัวเราะ) ทุกวันนี้ ทุกสิ่งอย่างในบ้านเนเน่จะเป็นคนบริหารจัดการหมดค่ะ เป็นคนคอยซื้อของเข้าบ้าน เวลาเกี่ยวข้าว เราก็ส่งเงินไปให้จ้างคนมาช่วย เพราะเราไม่อยากให้ท่านทำอะไรมาก อยากให้อยู่อย่างสบายมากกว่า ดังนั้นเพื่อครอบครัวแล้ว ทุกอย่างที่เราทำได้เราก็จะทำ

ตอนนี้รายได้ต่อเดือนของเนเน่อยู่ที่ชิ้นงานค่ะ อย่างหนัง ถ้า 1 เดือนถ่าย 2-3 เรื่องมันก็ได้เยอะอยู่ เช่นเดียวกับการร้องเพลง ส่วนงานรีวิวสินค้าก็มีค่ะ ซึ่งก็มีการทำข้อตกลงกันว่า 1 ชิ้นใน 3 เดือนต้อง Live 4 ครั้งต่ออาทิตย์ และลงรูปภาพ 4 ครั้งต่อเดือน ราบรับก็ประมาณ 15,000 บาท อย่างตอนนี้มี 3 ชิ้น ก็มีรายรับเข้ามา 45,000 บาทต่อเดือน ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนใช้แบรนด์เนมอะไร เวลาซื้อของแต่ละอย่างต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจำเป็นไหม ถ้าเป็นกระเป๋าก็โอเค ลงทุนซื้อแต่ใช้ได้นาน เพราะเราต้องออกงานอยู่บ่อยๆ ส่วนเสื้อผ้าก็นานๆ ครั้ง แต่ปกติไม่ค่อยได้ซื้อ”

นับถือใจ! ถึงยุ่งแต่ไม่ทิ้งการเรียน

อย่างไรก็ดี แม้งานจะรัดตัว แต่เธอก็ไม่ทิ้งเรื่องเรียน ปัจจุบันเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างรัฐกะเหรี่ยง-กรุงเทพฯ อยู่บ่อยๆ เพื่อเข้ามาศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ กศน.ดอนเมือง โดยเธอมองว่า การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และการเรียนรู้คือหน้าต่างของโอกาส

“เนเน่เรียนกศน.อยู่ค่ะ โดยเทียบระดับวุฒิม.6 เพราะเรียนจบแค่ชั้นม.1 จากพม่า ตอนนี้เรียนได้ 2 ปีแล้วค่ะ ใกล้จบแล้ว จากนั้นวางแผนว่าจะเรียนด้านการแสดงที่มหาวิทยาลัยในไทย เพราะเนเน่มุ่งมาทางนี้โดยตรงอยู่แล้ว ตอนนี้ที่คิดๆ ไว้คือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราชค่ะ” นางเอกสาวบอก

ส่วนข้อมูลที่ระบุว่า เธอสามารถพูดได้ 5 ภาษา เธอบอกว่า คุณพ่อเป็นคนลาว ส่วนคุณแม่เป็นลูกครึ่งไทย-กะเหรี่ยง ทำให้เธอสามารถเธอพูดภาษาพม่า ภาษากะเหรี่ยง ภาษาลาวได้ นอกจากนั้นยังสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว เห็นได้จากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้

“พ่อเนเน่เป็นคนลาว ซึ่งลาวตกค้างอยู่ในพม่า (หัวเราะ) ส่วนแม่เป็นคนไทยผสมกับกะเหรี่ยง ขณะที่ภาษาไทย ได้เรียนรู้จากบ้านนายจ้าง หลังเลิกงานตอนเย็น เจ้านายจะให้ลูกของเขามาช่วยสอนให้ อาจจะด้วยเราตัวเล็กดูเป็นเด็กน่าสงสารด้วยมั้งคะ (หัวเราะ) นายจ้างก็เลยสงสาร ตอนนี้ก็อ่านออก เขียนได้ เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ อาศัยการฝึกฝนจากการเรียนอยู่ที่พม่าค่ะ ซึ่งก็พอสื่อสารได้ค่ะ”

“พ่อหลวง” ของทุกคน

ปิดท้าย เมื่อถามความรู้สึกที่มีต่อ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” เธอบอกว่า รู้สึกอบอุ่นหัวใจที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่าน และใจหาย น้ำตาไหล เมื่อได้มีโอกาสไปกราบสักการะพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ไทยผู้เป็นที่รักของประชาชนชาวไทย และชนเผ่ากะเหรี่ยง

“ตอนมากรุงเทพฯ ใหม่ๆ เนเน่ก็สงสัยนะว่า ทำไมเห็นท่านผู้นี้ออกทีวีทุกวัน ต่อมาก็ร้องอ๋อว่า พระองค์ท่านคือในหลวงของคนไทย พอเราได้เห็นท่านทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย รู้เลยว่า พระองค์รักประชาชนมากๆ รวมไปถึงชนเผ่ากะเหรี่ยงที่ท่านได้ขึ้นไปหาด้วย ซึ่งเราได้ติดตามตลอด ส่วนตัวรู้สึกอบอุ่นมากๆ ที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่าน และในวันที่ได้ไปกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ส่วนตัวรู้สึกว่าพระองค์ยังไม่ไปไหน ยังอยู่ในหัวใจของเราทุกคน”

สุดท้ายนี้ แม้จะผ่านวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว ในฐานะนักแสดงสาวคนหนึ่ง เธอได้ฝากคำอวยพรแก่ชาวไทย และชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในไทยด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก สดใสว่า “ขอให้คนไทย และพี่น้องชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในไทยทุกคน พบเจอแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใด หรือทำอะไรก็ขอให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป” ก่อนจะอ้อนว่า “ฝากนักแสดงสาวตัวเล็กๆ คนนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ”

ความสวยผ่านมุมมองนางเอกสาว
“ตื่นขึ้นมามองตัวเองในกระจกมันก็ต้องมีบ้างอ่ะเนอะ (หัวเราะ) ส่วนตัวเนเน่ชอบฟันค่ะ เพราะเป็นคนมีเขี้ยว คนมักจะชอบให้ยิ้มค่ะ อย่างเวลาอยู่กองถ่าย พี่ๆ บางคนจะพูดขึ้นมาว่า นางเอกคนอื่นไม่รู้แหละ แต่เนเน่มากองถ่ายแล้วสดชื่น อยากให้ยิ้มบ่อยๆ เพราะยิ้มแล้วน่ารัก ซึ่งเราก็ดีใจที่พี่ๆ ในกองถ่ายเอ็นดูเรา เพราะเวลาทำงานก็อยากให้ทุกคนได้สดชื่น ไม่เครียด เพราะความเครียดจะส่งผลถึงการทำงาน

ส่วนคำว่า “คนสวย” เธอให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจ “คนสวยเหรอคะ…(นิ่งคิด) เนเน่คิดว่ามันอยู่ที่จิตใจของคนเรามากกว่า ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก นอกจากนั้นสวยต้องสวยที่ความคิด และกิริยามารยาทด้วยค่ะ ต่อหน้าพูดดี ลับหลับก็ต้องดีด้วย บางคนทำตัวสวยๆ แต่ลับหลังมีแต่นินทา แบบนี้เนเน่เจอบ่อยมาก”

ที่มา – manager