เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

 

จากกรณี สุดสะเทือนขวัญฆ่าหั่นศพ น้องแอ๋ม น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย วัย 22 ปี  โดยฝีมือ สวยสยอง เปรี้ยว น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย และพ้องเพื่อน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาล นับเป็นอีกหนึ่งคดีสะเทือนขวัญของไทยที่ผู้หญิงเป็นผู้ลงมือหั่นศพอย่างเหี้ยมโหด แต่หากย้อนกลับไปดูข่าวเก่า จะพบว่า เปรี้ยว ไม่ใช่คนไทยรายแรก ที่ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ

 

หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดคดีสยองขวัญเมื่อปี พ.ศ. 2544 คดีฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการแพทย์อีกครั้ง จนกลายเป็นอีกหนึ่งคดีอาชญากรรมในตำนานที่ผู้คนจดจำได้ เมื่อผู้ที่ลงมือสังหาร พญ.ผัสพร คือ คู่ชีวิตของเธอที่ถูกยกให้เป็นสูตินรีแพทย์ฝีมือดีระดับเอเชีย…ผศ.นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

คดีดังกล่าวได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามลำดับชั้นมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ จนถึงศาลฎีกา ซึ่งทุกศาลก็เห็นพ้องพิพากษาให้ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ฐานกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จากคดีฆ่าชำแหละศพ และอำพรางศพภรรยาของตัวเอง
โดยจุดเริ่มจากวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 หมอวิสุทธิ์เข้าแจ้งความกับตำรวจสน.พญาไท ว่า พ.ญ.ผัสพร หายตัวไป แต่จากนั้นไม่นาน ก็เข้าพบตำรวจอีกครั้งระบุว่าเจอตัวแล้ว ทำนองว่ามีจดหมายตัวพิมพ์ข้อความจากพ.ญ.ผัสพร ส่งมาที่ทำงานและส่งให้ลูก ๆ ทำนองว่า ไปนั่งวิปัสสนาที่ จ.ระยอง เป็นเวลา 15 วัน และหมอวิสุทธิ์ยังนำเพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัว มาแสดงโดยมีข้อความจากพ.ญ.ผัสพรส่งมาในลักษณะเดียวกัน

เมื่อครบกำหนดวันลาพ.ญ.ผัสพรยังไม่ปรากฎตัว ญาติของพ.ญ.ผัสพร เข้าร้องทุกข์โดยเชื่อว่าน่าจะเกิดเหตุร้าย พร้อมพุ่งเป้าไปที่หมอวิสุทธิ์ เพราะกำลังมีปัญหากันอยู่ ถึงขนาดที่หมอวิสุทธิ์ฟ้องขอหย่า แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม ตำรวจจึงเริ่มสืบสวนอย่างจริงจัง กระทั่งได้ข้อมูลจากเพื่อนที่ทำงานว่า ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ญ.ผัสพร ออกไปพบกับสามีและช่าง เรื่องซ่อมแซมบ้าน โดยทราบว่าไปที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์

ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์นี่เอง เจ้าหน้าที่พบหลักฐานแรก เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่น.พ.วิสุทธิ์ เดินประคองพ.ญ.ผัสพร ออกไปด้านนอก เมื่อตรวจสอบภายในห้างพบว่า ทั้งคู่มารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านโออิชิ เมื่อสอบปากคำพนักงานในร้าน และภาพจากกล้องวงจรปิดพบพ.ญ.ผัสพรเดินเข้ามาด้วยอาการปกติ แต่ตอนขาออกมีอาการคล้ายคนเมา พนักงานจำได้ว่า เมื่อสอบถามหมอวิสุทธิ์ตอบว่า เมาพันซ์ที่สั่งมาดื่ม ทำให้พนักงานทำหน้าเหรอหรา เนื่องจากน้ำพันซ์ของร้านไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่เลย และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นพ.ญ.ผัสพร
ตำรวจเริ่มตรวจสอบข้อมูลทางลับอื่น ๆ ของหมอวิสุทธิ์ กระทั่งพบว่า วันเดียวกับที่พ.ญ.ผัสพรหายตัวไป หมอวิสุทธิ์ไปเปิดห้องพักที่อาคารวิทยนิเวศ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พักสำหรับบุคคลากรของมหาวิทยาลัย วันรุ่งขึ้นก็ย้ายไปพักที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ซึ่งจองเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2544 หรือก่อนเกิดเหตุ 1 สัปดาห์ ไม่เพียงเท่านั้นตำรวจตรวจสอบเพจเจอร์ของน.พ.วิสุทธิ์ที่อ้างว่า ช่างนัดให้มาคุยเรื่องบ้าน จริง ๆ แล้วหมอวิสุทธิ์ โทรศัพท์เข้าเพจเจอร์ตัวเอง รวมทั้งข้อความที่พ.ญ.ผัสพรแจ้งว่าไปอยู่ จ.ระยอง หมอวิสุทธิ์ก็เป็นผู้โทรศัพท์ไปแจ้งเองด้วย

 

พบหลักฐานสำคัญมากพอจนถูกจับกุม

หลักฐานสำคัญอีกหนึ่งคือจดหมายลางาน ตำรวจพบพยานเป็นร้านรับพิมพ์ระบุว่า หมอวิสุทธิ์มาจ้างให้พิมพ์ข้อความทั้งหมด นอกจากนี้พบอีกว่าวันที่พ.ญ.ผัสพรหายตัวไป หมอวิสุทธิ์ไปซื้อหาถุงขยะสีดำขนาดใหญ่ ก้อนดับกลิ่น และกระดาษทิชชู่ จำนวนมากผิดปกติ อีกทั้งก่อนเกิดเหตุ 2 เดือน หมอวิสุทธิ์สั่งยานอนหลับชนิดร้ายแรงยี่ห้อโดมิคุ่ม อ้างว่าให้แม่ แต่ตามประวัติไม่พบว่าแม่ของหมอวิสุทธิ์ใช้ยาชนิดนี้

เมื่อได้หลักฐานระดับหนึ่งตำรวจเข้าตรวจค้นห้องพักในอาคารวิทยนิเวศ พบคราบเลือดจำนวนมากในห้องพัก จึงดูดบ่อเกรอะขึ้นมาตรวจสอบ พบชิ้นเนื้อมนุษย์จำนวนมาก เช่นเดียวกับที่โรงแรมโซฟิเทล ก็พบชิ้นเนื้ออีกส่วนหนึ่ง แพทย์ตรวจสอบแล้วมีดีเอ็นเอตรงกับพ.ญ.ผัสพร ทำให้หมอวิสุทธิ์ถูกดำเนินคดีข้อหาฆาตกรรม

ส่วนสาเหตุตำรวจสอบพบว่า น่าจะมาจากเมื่อปี 2541 พ.ญ.ผัสพรพบว่า สามีสนิทสนมกับคนไข้ จึงบังคับให้เขียนจดหมายสารภาพผิดเอาไว้ และต่อมาเกิดเรื่องอีกหลายครั้ง จนฝ่ายชายขอหย่า แต่พ.ญ.ผัสพรไม่ยอมและยังขู่ว่า จะไปร้องเรียนที่โรงพยาบาลรวมทั้งแพทยสภาด้วย

คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาว่า หมอวิสุทธิ์ มีความผิดจริงตัดสินประหารชีวิต แต่ได้รับการอภัยโทษและลดโทษเรื่อยมา เพราะเป็นนักโทษชั้นดี ล่าสุดเมื่อปลายปี 2554 ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 21 ปี

และได้ออกจาก “คุกบางขวาง” มาในวันนี้รวมระยะเวลาในการถูกคุมขัง 10 ปี 9 เดือน ในขณะที่ “ศพ” แพทย์หญิงผัสพร ยังหาไม่เจอ พ่อแม่ของเธอใช้เพียง “ชิ้นเนื้อ” มาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกสาว

 

 

ส่วนอีกคดี เกิดขึ้นในปี 2541 คดีฆ่าหั่นศพ ‘น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี’ นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 5 มหาวิทยาลัยมหิดล ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งย่านบางขุนนนท์  d

มือฆ่าหั่นศพนั่นคือ เสริม สาครราษฎร์’อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์วชิระพยาบาล ฆาตกรฆ่าหั่นศพแฟนสาว  น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี นับเป็นคดีฆ่าชำแหละศพคดีแรก ๆ ที่เปิดเผยขึ้นมา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2541 แต่มาเป็นข่าวใหญ่เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 หลังจากพ่อแม่ของเจนจิรา แจ้งความว่า ลูกสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมกับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว หมายเลขทะเบียน 8 ษ-8580 กรุงเทพมหานคร

ตำรวจเชิญตัว เสริม สาครราษฎร์ ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มมาสอบปากคำ เสริมรับว่าอยู่กับเจนจิรา ในวันที่ 26 มกราคม เพราะนัดพบกันที่ห้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (ปัจจุบัน-เซ็นทรัลเวิลด์) แต่แยกกันไป และไม่ได้เจอกันอีก แต่ตำรวจสอบพบว่า ระยะหลังทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยครั้ง เนื่องจากฝ่ายหญิงต้องการเลิกรา แต่เสริมไม่ยอม

เจ้าหน้าที่เริ่มสืบประวัติของเสริม และต้องตกตะลึงกับความ ‘อัจฉริยะ’ เพราะเสริม ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ธรรมดา แต่มีดีกรีวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วย โดยสามารถสอบเข้าเรียนตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี หลังเรียนจบ ก็สอบเอนทรานซ์ใหม่ เข้าเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ ตามที่ครอบครัวร้องขอ

จากประวัติตำรวจสืบไปถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่ย่านจรัญสนิทวงศ์ ให้การว่า เสริมแวะมาหาที่บ้านเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2541 และล้างรถนานผิดปกติ ขณะที่เพื่อนบ้านใน จ.ชลบุรี บ้านเกิดของเสริม ระบุว่าเสริม กลับมาบ้านในวันที่ 28 มกราคม 2541 และเผาสิ่งของบางอย่าง เมื่อสอบถามก็มีอาการตกใจ ตำรวจตัดสินใจเชิญตัวเสริมมาสอบปากคำอีกครั้ง และให้เข้าเครื่องจับเท็จ ท้ายที่สุดนักศึกษาอัจฉริยะให้การสารภาพว่า ลงมือฆ่าแฟนสาว เพราะไม่พอใจที่ถูกบอกเลิก และให้การถึงจุดสังหารในโรงแรมแห่งหนึ่ง รวมทั้งที่ทิ้งข้าวของต่าง ๆ

ข้าวของอื่น ๆ ของเจนจิรานั้น ตำรวจตามพบตามที่เสริมให้การ ยกเว้นจุดสังหาร เพราะในโรงแรมไม่พบร่องรอยใด ๆ เลย การหาศพไม่พบเป็นปัญหาในทางกฎหมายแน่นอน แต่ในที่สุดตำรวจก็พบหลักฐานสำคัญอีกชิ้น เมื่อตัดสินใจไปงมหาหลักฐานที่แม่น้ำบางปะกง จุดที่เสริมต้องขับรถผ่านไปยังจ.ชลบุรี และพบกะโหลกมนุษย์ เมื่อนำมาทำภาพเชิงซ้อนก็ยืนยันว่าเป็นกะโหลกศีรษะของเจนจิรา ถึงตอนนี้เสริมยอมสารภาพว่า จุดสังหารเป็นห้องพักในคอนโดมิเนียมของเขา โดยใช้ปืนยิงศีรษะก่อนชำแหละศพ ที่นี่พบคราบเลือดจำนวนมาก และในบ่อเกรอะพบชิ้นเนื้อของเจนจิราด้วย

เวลาผ่านไป 1 ปี ระหว่างการพิจารณาของศาล คดีนี้ได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อตำรวจพบหลักฐานเพิ่มเติมเป็นทรัพย์สินของเจนจิรา ซุกอยู่บนฝ้าเพดานบ้านเพื่อนสนิทของเสริม ย่านจรัญสนิทวงศ์ ที่ไปขอล้างรถนั่นเอง การพบเจอก็แปลกประหลาดยิ่ง เพราะเริ่มจากเจ้าของบ้านแจ้งเหตุงูเลื้อยขึ้นไปบนฝ้า เมื่อเจ้าหน้าที่มาจับงูก็พบกล่องทรัพย์สินของเจนจิรา ยิ่งเป็นหลักฐานมัดแน่นหนามากขึ้น

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ระหว่างถูกคุมขังเสริม เรียนจบปริญญานิติศาสตร์อีกใบ เป็นนักโทษชั้นดีได้รับการพระราชทานอภัยโทษถึง 5 ครั้ง และพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 รวมถูกคุมขังในเรือนจำราว 14 ปี ปัจจุบันเสริม สาครราษฎร์ เปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่เป็นนายไชยา ตันทกานนท์

by TVPOOL ONLINE