เจ้เชื่อว่าคนเราทุกคนย่อมมีจุดที่สูงสุดกับจุดต่ำสุดของชีวิตกันทั้งนั้นแหละ เพราะมันคือรสชาติความเป็นคนที่ทุกคนต้องเจอ ก็เหมือนกับสตอรี่ของเจ้าพ่อเล่าข่าวพันล้านอย่างเฮียสอ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา”กับข่าวทื่ทำวงการสะเทือนเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.60) กับโทษจำคุก 13 ปี 4 เดือน ในคดีร่วมกันยักยอกโกงเงินค่าโฆษณาเกินเวลา ในรายการคุยคุ้ยข่าว ทางช่อง 9 อสมท จำนวนกว่า 138 ล้านบาท
เมื่อวานเจ้เล่าถึงที่มาที่ไปชีวิตของพี่สรยุทธไปแล้ว ว่าไปไงมาไงถึงได้มาเจอจุดที่เจอวิกฤติชีวิตในวันนี้ได้ วันนี้เจ้จะพาไปขยายเรื่องราวต่อ ถึงเรื่องของคดีนี้ที่ว่ากันว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ของคนข่าวบ้านเราเลยทีเดียว
1.บริษัทไร่ส้ม ก่อตั้งขึ้นภายหลังสรยุทธลาออกจากเนชั่น และดำเนินกิจการต่อจากนั้นมา มีผลประกอบการที่ตัวเลขสูงพอสมควร และบริษัทก็มีชื่อเสียงอย่างมากในเวลาไม่นาน ด้วยลีลาและบุคลิกไม่เหมือนใคร ของสรยุทธ จนสามารถตรึงคนดูให้อยู่หมัดได้.ในสไตล์เล่าข่าวแบบดุดัน ชัดเจน ตรงไปตรงมา
2.ในฐานะผู้บริหารบริษัท สรยุทธดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ผลิตรายการโทรทัศน์) และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด (รับจัดงานและกิจกรรม) ทั้ง 2 บริษัท มีรายได้ในรอบ 8 ปีกว่า 2,600 ล้านบาท
3.บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สรยุทธถือหุ้น 79.99% และก่อตั้ง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สรยุทธถือหุ้น 99.98% จากการรวบรวมผลประกอบการตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงสิ้นปี 2554 (8 ปี) ทั้งสองบริษัทมีรายได้รวม 2,624,570,323.10 บาท กำไรสุทธิ 1,047,275,753.81 บาท สินทรัพย์ ปี 2554 รวม 273,839,213 บาท
4.หลังทำกำไรในธุรกิจนี้มาตลอด แต่แล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 เรื่องก็เกิดขึ้น เมี่อ กุ้ง-บุณฑนิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1(อสมท) ได้สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืนมีการออกอากาศล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จึงได้ทำการตรวจสอบและเรียกพนักงานของไร่ส้มฯอย่าง พิชชาภา เอี่ยมสอาด มาสอบถามต่อหน้าทุกคน
5.จากข้อมูลที่ทราบมาว่า พิชชาภา ได้รับสารภาพต่อหน้าทุกคนว่า บริษัทไร่ส้มมีการโฆษณาเกินเวลา และไม่มีการรายงานเพื่อเรียกเก็บเงินจริง และพิชชาภาได้ใช้น้ำยาลบคำผิดเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัทไร่ส้มในใบคิวโฆษณารวมของ อสมท เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของ สรยุทธ และ ผู้ร่วมงานอีกคนคือ มณฑา ธีระเดช พนักงานของบริษัทไร่ส้ม ก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้น โดยมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ อสมท คือจำนวนเงินกว่า 138 ล้านบาท
6.เมฆหมอกเริ่มปกคลุมไร่ส้ม เมื่อ ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 ว่า การกระทำของนางพิชชาภามีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา( ตามมาตรา 6, 8, 11 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502)การกระทำของ นางอัญญา อู่ไทย ซึ่งเป็นหัวหน้างานและเป็นผู้บังคับบัญชาในฝ่ายสนับสนุนและบริการลูกค้า สำนักกลยุทธ์การตลาด อสมท มีมูลความผิดทางวินัย
7.ส่วน การกระทำของ สรยุทธ และมณฑา ซึ่งได้ใช้ให้ พิชชาภาไม่ต้องรายงานการโฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญาให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ และบริษัทไร่ส้ม (ในฐานะนิติบุคคล) มีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด(ตามมาตรา 6, 8, 11 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
8.หลังจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงานถึงอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลในคดีอาญา และทั้งสองหน่วยงานมีความเห็นร่วมกันว่า สมควรสั่งฟ้องจำเลยทั้ง 4 ราย เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
9.หลังจากต่อสู้ดีมาเกือบ 2 ปี ศาลชั้นต้นก็มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งหมดมีความผิด และต้องรับโทษตามกฎหมาย สรยุทธ และ มณฑา มีความผิดฐานสนับสนุน(ตามมาตรา 6, 8 และ 11 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว)ให้ลงโทษตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุก 20 ปี แต่ทั้งคู่ให้การนำสืบเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
10.ในระหว่างสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ สรยุทธและจำเลยอีก 2 คน ได้ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท ยื่นขอปล่อยชั่วคราว ต่อมาศาลอนุญาตและมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ โดยให้มารายงานตัวทุก 30 วัน
11.จากนั้นมีกระแสเรียกร้องให้ สรยุทธ ยุติบทบาทหน้าที่การทำงานในฐานะพิธีกรข่าวของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทาง ช่อง 3 มาเป็นเวลานับสิบปี และแม้ว่าในเช้าวันต่อมา พี่สรยุทธ จะทำหน้าที่ตามปกติ โดยรายงานข่าวคดีตัวเองแบบไม่เคอะเขิน แต่หลายคนก็ยังตะขิดตะขวงใจ ต่อมาเพจต่างๆ ได้มีการออกมารณรงค์ให้บอยคอต เลิกดูช่อง 3 รวมทั้งมีการพิจารณาถอดโฆษณาออกจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้
12.แม้ว่ามติการประชุมบอร์ดของช่อง 3 จะได้ข้อสรุปว่า ยังคงสนับสนุนนแต่ก็ทานกระแสสังคมไม่ไหว สุดท้ายในวันที่ 3 มีนาคม 2559 สรยุทธก็ได้ออกมาเขียนข้อความผ่านทางไอจีส่วนตัว ประกาศขอยุติการทำหน้าที่พิธีกร
13.ข้อความดังกล่าว โดยระบุว่า“ตั้งแต่เย็นนี้ ผมขอยุติการทำหน้าที่พิธีกร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับช่อง 3 เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ขอบคุณครอบครัวช่อง 3 ขอบคุณแฟนข่าว ขอบคุณทุกกำลังใจ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ครับ”
14.แม้ว่าการลาจอของสรยุทธ จะลดแรงต้านทานจากสังคมลงได้ แต่ที่กระทบมากที่สุดก็คือช่อง 3 ในเวลานั้นเรตติ้งลดฮวบ และมีผลต่อธุรกิจ โดยเฉพาะโฆษณาไม่น้อยและหลังจากวันนั้น เราก็ไม่เคยเห็นบทบาทสรยุทธบนหน้าจอทีวีอีกเลย
15 .จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ทำให้ชื่อของสรยุทธ สุทัศนะจินดา หวนกลับมาอีกครั้ง บน หน้าจอเฟซบุ๊ก live สด จนสะเทือน ‘โลกออนไลน์’ตอนต้นปี
วิบากกรรมชีวิตของสรยุทธ คือเครื่องเตือนใจ ที่ดี ถึงจุดสูงสุดและต่ำสุดของคนข่าวพันล้าน ที่เดินทางกว่า 29 ปี ในแวดวงสื่อฯ ใครเลยจะคาดคิดว่าบทสรุปชีวิตจะลงเอยเช่นนี้
Cr.เจ้เจือก เผือกทุกเรื่อง
ขอบคุณภาพจาก ช่อง Nation 22
by TVPOOL ONLINE