เรียกได้ว่าเป็นกระแส สำหรับละครโรแมนติกอิงประวัติศาตสตร์ เรื่อง บุพเพสันนิวาส ทางช่อง 3 ของค่ายบรอดคาสท์ ไทย เทเลวิชั่น ที่ย้อนยุคไปสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ยุคที่บ้านเมืองสมัยกรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมาก
โดยในละครได้มีการนำเสนอเรื่องการทำความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้าการแต่งตัวและทรงผมที่นิยมกันในสมัยนั้นซึ่งเป็นทรงมหาดไทย สังเกตได้จากตัวนางเอก การะเกด ที่แสดงโดยเบลล่า-ราณี และคุณหญิงจำปาที่รับบทโดยนักแสดงมากฝีมือ เหมียว-ชไมพร รวมถึงตัวละครอื่นๆ นอกจากเรื่องทรงผมในละครบุพเพสันนิวาสแล้ว วันนี้เราได้นำข้อมูลส่งของไทยโบราณมาแนะนำให้รู้จักกันไปดูกันเลย
เริ่มจากทรงผมของ แม่หญิงการะเกด ที่รับบทโดย เบลล่า ราณี คือ ทรงมหาดไทย
เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา เป็นช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบ ผู้หญิงสมัยนั้นเลยต้องตัดผมสั้น แต่ยังความสวยงาม โดยการไถข้างและไว้ผมตรงกลางยาวๆ นิยมเซ็ทเป็นแสกกลาง ในเวลาต่อมาก็พัฒนาทรงจากการเลิกไถข้างมาไว้ผมยาวข้างหลังให้ดูสวยงามแทน ผมทรงมหาดไทยเริ่มมีในสมัยอยุธยา ช่วงเวลานั้นมีศึกสงคราม จึงต้องเตรียมผมให้พร้อม เพื่อที่ผู้หญิงจะปลอมตัวเป็นชายได้กลมกลืน โดยมหาดไทยตอนนั้นเป็นการทำผมแทรกกลางและผู้หญิงจะตัดผมให้สั้น บ้างก็โกนรอบศรีษะเหลือแทรกกลางไว้ จนมาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ศึกสงครามไม่มีมากเท่า แต่ก็ยังมีอยู่ ผู้หญิงยังคงนิยมไว้ทรงมหาดไทย แต่ด้วยความที่รักสวยรักงามจึงมีการไว้ผมยาว หรือปล่อยปอยผมออกมาด้วย ซึ่งทรงผมของเบลล่าในเรื่องนี้ ใช้ทั้งผมจริง และการสวมวิก แต่ต้องตัดซอยให้รับกับรูปหน้าของเธอ และเพื่อให้ใกล้เคียงกับผมของสาวโบราณมากที่สุด
ต่อด้วย แม่หญิงจันทร์วาด รับบทโดย มะปราง กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล ไว้ทรงผม โซงโขดง
เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย ผู้หญิงนิยมนำผมยาวๆ มาเกล้ามวยใหญ่ไว้กลางศีรษะ ประดับตกแต่งด้วยรัดเกล้า หรือพวงมาลัยตามโอกาสและตามฐานะ โซงโขดงเป็นที่นิยมเรื่อยมาจากยุคสุโขทัยจนถึงอยุธยาตอนต้น เป็นทรงผมยาวเกล้าเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ สันนิษฐานว่าช่วงเวลานั้นนั้นอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขจนมีคำว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าวไพร่ฟ้าหน้าใส ผู้หญิงไทยยังไว้มวยเกล้า แล้วรวบขึ้นไปเกล้าบนกระหม่อม รัดเกล้าเป็นห่วงยาวๆ มีเกี้ยวหรือพวงมาลัยสวมโดยมาก
ทรงผมของคุณแม่จำปา ที่รับบทโดย เหมียว-ชไมพร เรียกว่า ทรงผมปีก
ทรงผมผู้หญิงที่ไว้ผมยาวแต่เฉพาะกลางกระหม่อมคล้ายผมทรงมหาดไทย เซ็ตหวีปาดไปด้านหลัง ไว้ปอยผมข้างหู นิยมไว้ยาวกว่าคาง ซึ่งทรงนี้เริ่มมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการแต่งตัว และทรงผม โดยทรงผมปีกนี้จะโกนหรือตัดสั้นโดยรอบ และปล่อยผมไว้ยาวพอประมาณ บริเวณตอนบนและกลางศีรษะหวีเสยตั้งขึ้น มีการกันไรผมบริเวณรอบวงหน้าและไว้จอนยาวสองข้างใบหู บ้างก็ว่าทรงผมปีกนี้มีมาแต่สมัยอยุธยา โดยผมปีกอาจจะกลายเป็นทรงได้ดังนี้
– ผมปีก ด้านบนไว้สั้น กันไรจุกให้ขาว รอบโกนหัว
– ผมปีก ด้านบนไว้สั้น กันไรจุกให้ขาว รอบโกนหัว ไว้จอนหูยาว ไล้ด้วยขึ้ผึ้งจนแข็ง
– ผมปีก ด้านบนไว้ยาวแต่ไม่มาก พอแสกได้ รอบไว้ยาวประบ่า
ทรงดอกกระทุ่ม
เป็นทรงที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 คล้ายๆ ทรงปีกนก ผมด้านบนจะสั้นๆ ฟูๆ ถ้าผมยาวจะนิยมเสยไปด้านหลังเหมือนดอกกระทุ่ม ตัดผมทั้งศีรษะแล้วปล่อยให้ยาวชี้ขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายดอกกระทุ่ม ตัดผมด้านท้ายทอยให้สั้นขึ้นและหวีเสยด้านหน้าให้ตั้งสูง จับด้วยน้ำมันตานีหอมให้อยู่ทรง และจะไม่มีการทัดหรือตกแต่งทรงผมด้วยดอกไม้สด เนื่องจากมีข้อบัญญัติในกฎ มณเฑียรบาลมาครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้วว่าห้ามการทัดดอกไม้ อาจเป็นเพราะมองดูว่างามเกินจริตขาดความสุภาพเรียบร้อย หากสตรีผู้ใดทัดดอกไม้ในเขตพระบรมมหาราชวังจะต้องลงโทษให้นำดอกไม้นั้นมายีบนศีรษะ บ้างก็ว่าทรงดอกกระทุ่ม พัฒนาการมาจากผมปีกที่ไว้ยาวแล้วเสยเส้นผมทั้งหมดไปด้านหลัง โดยแบ่งดังนี้
-ทรงดอกกระทุ่มสั้น
-ทรงดอกกระทุ่มยาวท้งศรีษะ
by TVPOOL ONLINE







