ต้องบอกเลยว่ายังคงตั้งใจที่อยากจะช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยอย่างต่อเนื่อง สำหรับนักร้องหนุ่ม ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม หลังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ วิ่งระดมเงินทุนจากใต้สุดไปยังเหนือสุดของประเทศไทย เพื่อนำเงินบริจาคมอบให้โรงพยาบาล 11 แห่ง ในโครงการ ก้าวคนละก้าว
ล่าสุดขณะที่ ตูน บอดี้สแลม ได้เดินทางมาร่วมงาน ก้าวต่อชีวิต ณ ตึกเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อส่งมอบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดสมอง หรือ SYNAPTIVE ราคา 50 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก เจ้าตัวก็ได้ถือโอกาสเปิดใจกับสื่อมวลชนถึงโปรเจกต์โครงการ ก้าวคนละก้าว ที่จะเกิดขึ้นในกลางปีนี้ให้ฟังอีกด้วย
วันนี้มามอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ?
“จริงๆ วันนี้มาเป็นตัวแทนของคนไทยทุกคนเลยนะครับ ที่ร่วมช่วยกันบริจาคในโครงการ ก้าวคนละก้าว เมื่อปลายปี 2560 ที่ผมวิ่งจากเบตงมาถึงแม่สาย เราได้กระจายเงินบริจาคไปทั้ง 11 โรงพยาบาล รวมถึงที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นศูนย์กลาง ศูนย์รวมเงินบริจาค รวมถึงวันนี้ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้ซื้อเครื่องมือหลายๆ เครื่อง และมีเครื่องหนึ่งที่ทันสมัยที่สุด เพื่อที่จะช่วยรักษาคนไทยทุกคนได้”
“เป็นเครื่องมือผ่าตัดสมอง ซึ่งการเข้าไปของเครื่องมือจะนำทางไม่ให้ไปทำลายสมองส่วนที่ดี เพราะเนื้อสมองจะเหมือนกันหมด ถ้าเราสามารถไปถึงจุดที่เราจะผ่าตัดได้โดยตรง โดยที่ไม่เป็นอะไร ก็จะทำให้คนไข้ฟื้นขึ้นเร็ว ซึ่งเครื่องนี้เราได้ใช้กับคนไข้ไปแล้ว”
“มันเป็นเครื่องแรกในเอเชีย ได้มาอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และสามารถใช้สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม หรือบัตร 30 บาท ทุกสิทธิ์ใช้ได้หมดกับเครื่องมือที่ทันสมัยเหล่านี้ ซึ่งความภูมิใจ ความน่าดีใจ หรือความปลาบปลื้มใจอันนี้ ผมคิดว่ามันเป็นของพี่ๆ คนไทยทุกคนที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุกคนมีส่วนในเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้”
เหมือนประสบความสำเร็จเกินคาด กับความตั้งใจที่คาดหวังไว้ ?
“ความตั้งใจของโครงการที่ชื่อว่า ก้าวคนละก้าว ที่มีมาตลอด 2-3 ปี เราเริ่มด้วยการถูกขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล จากคุณหมอ เพราะเราเป็นคนที่อยู่ในสื่อพอที่จะมีเสียงเล็กๆ ไปให้คนได้ยิน เขาก็มาขอความช่วยเหลือจากเราเพื่อให้ใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเรายินดีอยู่แล้ว และพอเราได้ทำมันก็ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่ามันมีความสุขดีที่อาชีพเราสามารถทำให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย นอกจากเรื่องของดนตรีที่เป็นงานหลักของเราอย่างเดียว คิดว่าอยากจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และทำในแบบของเรา ที่เป็นความสุขของเรา และวิธีการของเรา โดยที่เราไม่ได้มุ่งเน้นแค่เงินบริจาคอย่างเดียว ผลสุดท้ายเราอยากให้คนไทยได้เริ่มต้นในการดูแลสุขภาพตัวเองก่อน เพราะมันจะเป็นต้นทางที่ดีที่สุด”
เห็นว่าในปีนี้ก็จะมีโครงการ ก้าวคนละก้าว อีก ?
“ใช่ครับ คือเจตนารมณ์อย่างที่บอก ถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับใครได้ในแบบของเรา เราก็อยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ และคิดว่าปีนี้อยากจะลงไปทำในโรงพยาบาลระดับจังหวัด หรือระดับอำเภอ ที่ต้องการความช่วยเหลือ เพราะในขณะที่เราวิ่งจากเบตงมาแม่สาย ก็ยังมีอีกหลายโรงพยาบาลที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ ครั้งหน้าอย่าลืมคิดถึงเขา มาจัดกิจกรรมให้เขาบ้าง ซึ่งเราก็เก็บเอาไว้เป็นข้อมูล เราเลยคิดว่าปีนี้เราอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ แต่รูปแบบอาจจะไม่ใช่การวิ่งแบบยาวๆ เราอาจจะปรับเปลี่ยน หรืออยากจะมุ่งเน้นให้คนได้ดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งการรับบริจาคและส่งต่อให้โรงพยาบาลคงต้องมีอยู่แล้ว แต่จะทำในวิธีการที่แตกต่างกัน”
จะเริ่มเมื่อไหร่ ?
“ตอนนี้คิดว่าน่าจะเริ่มได้ช่วงกลางๆ ปีครับ คือผมทำเป็นกลุ่มคนเล็กๆ และทำด้วยตัวคนเดียว เราก็อยากจะลงไปดูทุกโรงพยาบาลจริงๆ เพื่อประมวลผลว่าเขาอยากจะได้อะไร เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง จะช่วยด้วยวิธีการไหนได้บ้าง จะส่งต่อบอกกับทุกคนด้วยวิธีไหนได้บ้าง ถึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด”
ตั้งใจจะวิ่งเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลแบบนี้ทุกปีเลยไหม ?
“คงไม่ได้ตั้งใจจะวิ่ง แต่คงตั้งใจจะทำโครงการในลักษณะนี้ไปต่อเนื่องเรื่อยๆ เท่าที่แรงเราจะมี แต่รูปแบบอาจจะเป็นวิ่งไหม หรือจะชวนคนมาวิ่งเพื่อให้เขาได้ดูแลตัวเองบ้าง ก็แล้วแต่เหตุการณ์และจังหวะพื้นที่ในแต่ละวัน”
ตอนนี้คิดไว้หรือยังว่าจะช่วยโรงพยาบาลไหนบ้าง ?
“มีคร่าวๆ หลายสิบโรงพยาบาลที่อยากจะให้เราเข้าไปช่วยเหลือ แต่ด้วยตัวผมเองก็อยากจะเข้าไปเห็นเอง ได้เข้าไปคุยกับคุณหมอหรือคุณพยาบาลด้วยตัวเองในทุกพื้นที่ เพราะเราอยากเห็นปัญหาก่อน และค่อยกลับมาประมวลว่าเราจะช่วยเขาได้ไหม หรือจะช่วยด้วยวิธียังไง”
เหมือนชีวิตประจำวันเราเปลี่ยนใหม่หมดเลยไหม ?
“มันก็สนุกขึ้นครับ (ยิ้ม) สนุกขึ้น และมีความสุขขึ้น เพราะแต่ก่อนเราก็มีมิติของงานดนตรี ทำเพลง ทำคอนเสิร์ตอย่างเดียว แต่อีก 2 อาทิตย์ เดี๋ยวเจอกันที่ราชมังคลากีฬาสถานนะครับกับคอนเสิร์ตใหญ่”
