เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เภา-รัฐพล พรรณเชษฐ์ อดีตสมาชิกวงบอดี้สแลม ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ค Rattapol Phanchet โดยได้เล่าเรื่องราวของการเป็นนักดนตรีสมัยยังเป็นเด็กน้อย พร้อมกับบอกว่า 15 ปีที่ผ่านมากับเพลงดังฮิตติดหูอย่าง สักวันฉันจะดีพอ ไม่เคยได้ส่วนแบ่งจากเพลงนี้เลยสักบาท และเล่าเหตุการณ์วินาทีตกสวรรค์หลังจรดปากกาเซ็นชื่อครั้งเดียวชีวิตเปลี่ยนทันที

“ร้านอาหารสักแห่ง ผับสักที่หรือคาราโอเกะสักห้อง เมื่อเพลง สักวันฉันจะดีพอ ขึ้น เพื่อนๆ หรือคนที่รู้จักผมทุกคนจะถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอส่งมาให้ผมดู สำหรับคนรอบตัวเพลงนี้คือเพลงที่ทำให้คนนึกถึงผม แต่ใครจะรู้ว่าในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ส่วนแบ่งจากเพลงนี้เลยสักบาท”

นอกจากนี้ เภา ได้เล่าถึงวินาทีเทวดาตกสวรรค์ เซ็นชื่อแล้วโลกเปลี่ยน 

“20 ปีก่อน มีข้อความนึงในเอกสารสัญญาที่ผมต้องเซ็น จำรายละเอียดไม่ได้ แต่จับใจความได้ว่า ถ้าทำผิดสัญญา ต้องชดใช้คนละ 1 ล้านบาท โอ้โห สำหรับเด็กมัธยมเมื่อ 20 ปีก่อน คงเป็นเงินที่ไม่คิดว่าจะมีปัญญาชดใช้ได้ เลยถามผู้ใหญ่ไปแบบซื่อๆ ว่า ตั้ง 1 ล้านบาท ทำไมปรับแพงจังเลยครับ ผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอก ผู้ใหญ่ในห้องหัวเราะร่วน แล้วบอกว่าเขียนไปยังงั้นแหละ ใครจะไปเอาเงินเภาตั้ง 1 ล้าน ผมหัวเราะตาม แล้วเซ็นชื่อทุกหน้า ด้วยหน้าตายิ้มแย้มมีความสุข โปรดฟรีซภาพหน้ายิ้มกว้างผมค้างไว้ พร้อมคำบรรยายว่านั่นล่ะครับ วินาทีของเทวดาตกสวรรค์อย่างแท้จริง”

“เด็กๆ เรามีความฝัน แต่เราไม่มีความรู้ ช่วงแวลานั้น แค่ได้เล่นดนตรีบนเวที มีคนดูสัก 10-20 คน ก็มีความสุขจะแย่ ประสาอะไรกับการที่มีคนบอกว่าจะให้เราแต่งเพลง อัดเพลงกันเอง แล้วเผยแพร่งานเราสู่คนทั่วประเทศ เห้ยย! วงดนตรีเด็กๆ อายุ 17 ขวบเอง ปัดโธ่! ใครจะไม่รับข้อเสนอนี้ ให้เซ็นอะไรก็เซ็นหมดนั่นล่ะ”

เภา ยังได้เล่าอีกว่าหลังจากเซ็นชื่อแล้วในเอกสารระบุหากผิดสัญญาปรับ 1 ล้าน “จริงอย่างที่เขาว่า ยังไม่มีใครมาปรับเงินผม 1 ล้าน ก็ผมไม่ได้ทำผิดสัญญาอะไรนี่นะ แต่ในทางกลับกัน มันก็ไม่สร้างรายได้อะไรให้เลย จนเราเองที่ทนอยู่กับมันไม่ได้อีกต่อไป เหลือเพียงเสียงดังก้องอยู่ในหัวว่า ก็โง่เซ็นเอง เอง เอง เอง เอง ปาดน้ำตาที ยอมรับก็ได้ว่าโง่จริง ผมออกจากวงการมานานแล้ว นานจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้แล้วล่ะ แต่แปลกที่ผมทนไม่ได้กับเรื่องของคนอื่น เวลาที่เห็นข่าวว่า มีวงดนตรีที่แต่งเพลงขึ้นมา แล้วไม่สามารถร้องเพลงตัวเองได้ หนำซ้ำยังโดนฟ้องเอาเงินจากการร้องเพลงตัวเองอีก ทำให้รู้สึกว่า โลกนี้มันโหดร้ายจังวะ”

“ถึงตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่า ผมคงรู้สึกแย่กับเพลง สักวันฉันจะดีพอสินะ เปล่าเลยครับ! ผมรักมัน มันไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการถูกเอาเปรียบ แต่สำหรับผมมันคือสัญลักษณ์ของความรัก ผมจะร้องให้ลูกฟัง ลูกจะร้องให้หลานฟัง แล้วเล่าว่ามันคือเพลงที่ปู่แต่งและคนมากมายรักมัน”

สุดท้าย เภา ยังได้ฝากถึงคนที่มีความฝันอย่าเดินไปแบบล่องลอยต้องมีสติด้วย “สำหรับคนที่มีความฝันทุกคน มันคืออุทาหรณ์ว่ามีความฝันแล้ว ต้องมีสติด้วย นักดนตรีใช้ความรู้สึกมาก ก็ต้องใช้เหตุผลให้มากกว่า อย่าให้ใครเอาความฝันเราไปขยี้ แล้วเหยียบซ้ำอย่างไม่ใยดี ด้วยคำพูดสวยหรู เวลาที่เรารู้สึกติดปีกบิน พุ่งทะยานขึ้นฟ้า มันหึกเฮิม ลืมรอบข้าง แต่หากวินาทีที่ปีกหัก กลับเจ็บปวดช้าๆ อย่างยาวนาน ไม่ทันรู้ตัว เราก็ตกลงบนพื้นแล้ว พร้อมแผลฉกรรจ์ หลังจากใช้เวลาเลียแผลกว่า 10 ปี ถ้ามีคนถามผมว่า เวลาคิดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไง ผมจะตอบว่าคงรู้สึกคล้ายๆ เทวดาตกสวรรค์ ล่ะมั้งครับ มันเคยมีความสุขมากแค่ไหน ตอนอยู่บนฟ้า ตอนนี้ผมลืมไปแล้วจริงๆ”