เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ล่าสุด หนิง ปณิตา ได้ออกมาชี้แจงถึงทุกกรณีให้ฟังทันที โดยเจ้าตัวได้เผยว่า ชีวิตคู่ของเธอไม่เคยใช้กำลังทำร้ายร่างกายกันแน่นอน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่ทนอยู่ต่อไป ส่วนที่โพสต์เรื่องความรัก เพียงแค่อยากแชร์ข้อคิดจากหนังสือธรรมะเท่านั้น พร้อมตอบประเด็นที่จับได้ว่าสามีมีกิ๊ก อยากให้ไปถามฝ่ายชายเอาเองจะได้คำตอบกว่า

ดูหน้าตาสดใสขึ้นเยอะ แฟนคลับเป็นห่วงเพราะเห็นเราโพสต์เรื่องเกี่ยวกับความรัก ?
“เมื่อเช้าที่หนิงโพสต์ เพื่อนก็โทรหาหนิงกันหลายคนว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือคุณยายจ๋า (แม่ชีศันสนีย์) คุณยายได้มอบหนังสือให้หนิง พอหนิงอ่านแล้วรู้สึกว่ามันใช่ ในโพสต์หนิงก็ติดแฮชแท็กว่า #เรื่องราวดีๆ ที่ต้องแชร์ เวลาหนิงอ่านเจออะไรที่ดีๆ หนิงก็จะเอามาแชร์ ไม่ได้เกี่ยวกับความรักอะไรของตัวหนิงเลย”

ซึ่งก็เลยทำให้มีกระแสเม้าท์ออกมาว่า เราถูกสามีซ้อม ?
“(หัวเราะ) เราต้องมาเคลียร์ทีละประเด็นไป เพราะถ้าจับหลายๆ ประเด็นมาพูดรวมกัน สุดท้ายมันจะยุ่งและโยงไปว่าคือปัญหาครอบครัว เอาเป็นว่าเรื่องที่โพสต์เกี่ยวกับคำคมดีๆ หรือเรื่องความรัก อันนี้บอกได้เลยค่ะว่าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องครอบครัว แต่เป็นเรื่องราวดีๆ ที่ได้อ่านแล้วเข้าใจกับหนังสือธรรมะ อันไหนอ่านแล้วคิดว่าเป็นตัวเรา เป็นแนวสตรองๆ เราก็แชร์ เอาเป็นว่าจบประเด็นนี้ไปนะคะ ส่วนเรื่องที่มีกระแสเม้าท์ออกมาว่า หนิงเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกซ้อม อันนี้ไม่ใช่ค่ะ และหนิงก็ไม่รู้ด้วยว่าข่าวมาจากที่ไหน”

แอบตกใจไหม เพราะข่าวก็ค่อนข้างแรงเหมือนกัน ?
“ก็ตกใจนิดหนึ่งค่ะว่าข่าวมันมาจากไหน เพราะหากการใช้ชีวิตคู่แล้วต้องมีการใช้ความรุนแรงหรือเรื่องของการลงไม้ลงมือ ก็ไม่ควรต้องใช้ชีวิตคู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าไม่มี”

ทางสามีเราว่าอย่างไรบ้าง พอมีกระแสแบบนี้ออกมา ?
“ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับคุณจินเลยค่ะว่ามีข่าวว่าถูกซ้อมออกมา อย่างที่บอกในเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ ปัญหาของครอบครัวถ้าเกิดมีการใช้ความรุนแรง หนิงคงไม่อยู่หรอกค่ะ ต่อให้สตรองแค่ไหนก็อยู่ไม่ได้นะคะ (ยิ้ม)”

มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวว่าเราไปจับได้ว่าสามีมีกิ๊ก ?
“ถ้าในส่วนของกรณีนี้ หนิงต้องบอกเลยว่าต้องรอคุณจินเป็นคนตอบ หนิงคงตอบแทนคุณจินไม่ได้ แต่หนิงยืนยันว่าครอบครัวหนิง ณ วันนี้ยังมีความสุขและแข็งแรงดี ซึ่งหนิงไม่สามารถจะยืนยันแทนคุณจินได้ แต่ถ้าคุณจินมีโอกาสออกสื่อก็ต้องไปถามคุณจินเองค่ะ”

นอยด์ไหมที่ประเด็นนี้กลับมาอีกแล้ว ?
“มันก็เป็นธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตคู่มากขึ้น และเข้าใจความเป็นผู้ชายมากขึ้น”

ดูเหมือนเราก็ค่อนข้างปลงเยอะแล้วเหมือนกัน ?
“เอาจริงๆ ชีวิตเราก็ไม่ได้ปลงขนาดนั้น แต่ทุกๆ บทเรียนของชีวิตก็ทำให้เกิดความเรียนรู้ในแต่ละวัน อยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน จะมองมุมบวก หรือจะมองมุมลบ เหมือนอย่างตอนที่หนิงไม่สบายอยู่โรงพยาบาล ก็มีเวลาให้หนิงได้คิดอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น”

ตอนนี้ชีวิตครอบครัวเราแฮปปี้ดีใช่ไหม ?
“อย่างที่หนิงบอกว่ารายละเอียดถ้ามีโอกาสเจอคุณจินให้ถามคุณจิน แต่สำหรับในตัวหนิงเอง ชีวิตครอบครัวตอนนี้ก็ยังเป็นครอบครัวที่มีความสุข อบอุ่นค่ะ”

น้องณิรินโตขึ้นเรื่อยๆ พอมีกระแสข่าวแบบนี้ออกมา น้องเข้าใจไหม ?
“ณ วันนี้เรื่องยังไม่ถึงหูน้อง แต่มันปิดไม่ได้หรอกเพราะเรื่องต้องถึงหูเขาสักวันหนึ่ง ซึ่งตรงนี้หนิงไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะหนิงเลี้ยงลูกค่อนข้างใกล้ชิด มีอะไรเราพูดคุยกัน และหนิงก็ไม่ได้เลี้ยงลูกคนเดียว เพราะยังมีโอกาสไปพบคุณหมอจิตแพทย์เด็กอยู่ตลอดเวลามาตั้งแต่เด็กๆ ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเราเลี้ยงแบบนี้นะ เราทำถูกไหม ต้องทำยังไง คือหนิงจะไม่เป็นห่วงเรื่องตรงนี้เลย หนิงเชื่อว่าณิรินต้องได้ความสตรองในตัวหนิงไปอย่างน้อยต้องครึ่งหนึ่ง”

พอมีกระแสข่าวแบบนี้ออกมา แล้วเราโพสต์ คนเลยเอามารวมกันไปหมด ?
“ก็อย่างที่หนิงบอกตอนแรกเลยค่ะ ต้องแยกเป็นประเด็นๆ ไป เพราะถ้าสมมติว่าเอาทุกอย่างมารวมกันหมด มันก็ยาก ตอบไม่ได้ เดี๋ยวรอแถลงข่าวจินนะคะ (หัวเราะ) หนิงเลยอยากให้ชัดเจนว่าแยกเป็นประเด็นๆ ไปค่ะ”

เหมือนตัวเรายืนหนึ่งในข่าวเรื่องมือที่สาม เรื่องกิ๊กมาตลอด เหนื่อยไหม ?
“ไม่นะคะ อย่างที่บอกไป ทุกๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตมันคือบทเรียนดีๆ บทเรียนหนึ่งที่ผ่านเข้ามา และถ้าเราทำความเข้าใจกับมัน เราก็ต้องเอาสิ่งเหล่านี้ไปเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ได้ มันมีเรื่องให้แชร์มากมาย แต่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักปุ๊บ ทุกคนจะจับตามองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”

ทุกวันนี้คุณจินยังเป็นสามีที่ดีอยู่ใช่ไหม ?
“เขาก็ยังเป็นคนที่ดี ที่น่ารักอยู่ค่ะ”

จะกลับไปคุยกับคุณจินถึงเรื่องราวที่เป็นข่าวไหม ?
“เดี๋ยวเขาก็คงได้อ่านแหละค่ะ เพราะเรื่องราวถูกโยงไปถึงเขาแล้ว”

ถามถึงอีกกระแส ที่บอกว่าเราแกล้งป่วย เพราะออกจากโรงพยาบาลปุ๊บก็ไปทำงานปั๊บเลย ?
“อันนี้มันขึ้นอยู่กับดุลพินิจและวิจารณญาณของแต่ละคนค่ะ คือในระหว่างที่คนคนหนึ่งกำลังทุกข์เพราะไม่สบายอยู่ และถ้าไปคอมเมนต์หรือคิดแบบนั้นกับเขา ทำให้มองย้อนกลับไปได้ว่าวุฒิภาวะของคนคนนั้นเป็นแบบไหน ถ้ามีคนที่เรารู้จักคิดแบบนั้นเราก็จะได้รู้ว่าให้กันคนคนนั้นออกไปจากตัวเรา ไม่ต้องไปใส่ใจ เราจะไม่ให้ค่ากับคนแบบนี้เหมือนกัน คงจะไม่มีใครอยากจะเสียเงินเกือบครึ่งล้านในขณะที่ป่วยต้องนอนโรงพยาบาล หรือเราต้องเอาใบรับรองแพทย์มาแถลงอย่างเป็นทางการ (หัวเราะ)”

ตอนนี้อาการดีขึ้นหรือยัง ?
“อย่างที่เห็นเลยค่ะ ถามว่าแข็งแรง 100 เปอร์เซ็นต์ไหม ทุกคนเห็นหนิงทำงานได้ก็ต้องคิดว่าหนิงแข็งแรง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใครได้อยู่ใกล้ๆ หนิง จะรู้ว่ามือหนิงจะยังมีความสั่นๆ เล็กๆ อยู่ หนิงจะยืนบนรองเท้าส้นสูงได้ไม่นาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใจเราจะเป็นคนสั่งกาย ถ้าใจเราไม่ป่วย กายเราก็จะยังไม่ป่วยทันที แต่ถ้าให้หนิงนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน หนิงว่าหนิงอาจจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า เป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้ หากหนิงได้ออกมาทำงาน พลังงานของตัวหนิงจะมา ที่สำคัญหนิงจะล้มไม่ได้ หนิงมองหน้าลูกและบอกตัวเองว่า ฉันต้องออกไปทำงาน ทั้งงานและลูกคือความสุขของหนิง”

สภาพร่างกายมีความพร้อมที่จะกลับมาแข็งแรงเต็มร้อยเมื่อไหร่ ?
“ตอนนี้หนิงว่าสัก 85 เปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ เมื่อวานยังไปกายภาพอยู่”

สาเหตุหลักเลยที่ทำให้เข้าโรงพยาบาลเพราะอะไร ?
“มันเริ่มมาจากหนิงไม่ได้นอน 2-3 คืน เพราะทำงานเกี่ยวกับเรื่องของบทละครอยู่ จากนั้นเราก็หน้ามืดและล้ม ซึ่งโชคดีที่ในห้องนอนมันมีเบาะบางๆ รองอยู่ ถ้าไม่มีเบาะช่วงคอคงกระแทกและเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้เลยเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อตรงบริเวณท้ายทอย เหมือนกล้ามเนื้อตกใจยังช็อกอยู่จึงทำให้ปวดบริเวณปลายประสาทแถวนั้น ส่งผลให้เรามีอาการแขนชาๆ อยู่ดีๆ ก็เวียนหัว ก็ต้องทำอะไรให้ช้าลง”

แบบนี้จะส่งผลต่อในระยะยาวไหม ?
“หนิงเชื่อหมอทุกอย่าง ทำทุกอย่างตามที่หมอบอก เพราะหนิงไม่อยากให้ส่งผลระยะยาว เรารู้เลยว่าเวลาที่เราป่วยต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นอาทิตย์มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยค่ะ”

หมอได้บอกไหมว่าเป็นโรคอะไร ?
“ถ้าจะพูดง่ายๆ ให้คนเข้าใจเลยก็คือปลายประสาทอักเสบค่ะ”