เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เป็นอีกหนึ่งตลกคนดังที่สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้แฟน ๆ ทั้งประเทศ สำหรับ “เอ เชิญยิ้ม” แต่ในชีวิตจริงของเขากว่าจะมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ ต้องทำงานมาแล้วหลายอย่าง หนักสุดถึงขั้นไปกินของเหลือจากคนอื่น

 

 

– ชีวิตวัยเด็กเป็นยังไง ?

เอ เชิญยิ้ม : เป็นเด็กบ้านแตก คือคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน ตั้งแต่ผม 3 ขวบ ผมก็อยู่กับคุณพ่อมาตลอด ตอนเด็ก ๆ ก็มีคำถามเหมือนกันว่าแม่ไปไหน แต่พ่อก็ไม่ได้บอกให้เราเกลียดแม่ พ่อบอกว่ามีเหตุผลของผู้ใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถร่วมชีวิตกันได้ เราก็เข้าใจอยู่กับพ่อมาตลอดโดยที่คุณพ่อไม่มีภรรยาใหม่เลย

– เคยถามพ่อไหมว่าทำไมแม่ถึงไป ปกติลูกจะอยู่กับแม่ แต่เราอยู่กัรบพ่อ เพราะอะไร ?

เอ เชิญยิ้ม : คุณพ่อถึงกับหอบลูกหนีในช่วงที่แยกกัน ต่างคนต่างแย่งลูก พ่อก็หอบลูกหนีไปอยู่ต่างจังหวัดไปอยู่ในที่ที่แม่ไม่สามารถตามได้

– เคยเจอคุณแม่บ้างไหม ?

เอ เชิญยิ้ม : เคยเจอเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แล้วตอนนี้แม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว

– เห็นว่ามีช่วงที่คุณพ่อตกงาน ช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง ?

เอ เชิญยิ้ม : คุณพ่อก็เปลี่ยนอาชีพจากตลกไปขายของ ไปขายลูกชิ้น ทำหลาย ๆ อย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก ในช่วงที่ลำบาก ไม่มีเงินจริง ๆ เราก็ดิ้นรนไปขายเรียงเบอร์ตามตลาดสด ตอนนั้นฐานะทางบ้านยากจน ลำบาก

– เริ่มทำงานตั้งแต่อายุเท่าไร ?

เอ เชิญยิ้ม : ประมาณ 9 ขวบ ตามคุณพ่อไปคาเฟ่ ละขึ้นเวทีเล่นตลก เมื่อก่อนเพื่อนพาไปไหนก็ทำหมดเพื่อให้ได้เงิน คือเงินจะซื้อขนมกินในบางวันมันไม่มี เชื่อไหมน้ำอัดลมในยุคนั้นเดือนนึงนับครั้งได้ว่าจะกินได้กี่ครั้ง

– จำได้ไหมความรู้สึกหดหู่กับอาชีพที่เราได้ทำตอนเด็กคืออาชีพอะไร ?

เอ เชิญยิ้ม : มันไม่มีนะ มันรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้รู้สึดรันทดหรือหดหู่อะไร

– เห็นว่าอยากทานอาหารฟาสต์ฟู้ดด้วย ?

เอ เชิญยิ้ม : มันเป็นช่วงตกงาน เราไปหางานห้างแถวบางกะปิ มันเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนว่าเราจะเลือกทางไหน คือผมเล่นตลกตั้งแต่เด็ก ๆ พอถึงช่วงสิบกว่าขวบก็มีโอกาสไปทำงานกลางวัน แล้วเราก็ไปหางานแถวฟาสต์ฟู้ดในห้างนั้นแล้วหิวข้าวไม่มีข้าวกิน เงินก็ไม่มี ก็ยืนมองคนที่เขากิน เขาทานเสร็จเขาก็ลุกไป เราก็มองซ้าย มองขวา เราก็ไปนั่งกิน ทีนี้ทางผู้จัดการเขามาเห็นเราก็บอกว่าเราไม่มีงานทำ

– อายไหมตอนเขามาเห็น ?

เอ เชิญยิ้ม : คือก่อนหน้านั้นเราขึ้นไปสมัคร แล้วเขาจำเราได้ ก็ปรากฏว่าได้ทำงานนั้น ก็ได้เป็นพนักงานเก็บจาน ซึ่งทำงานช่วงแรกยังไม่มีเงินเดือน มื้อกลางวันก็อาศัยตรงนี้

– เรารู้สึกน้อยใจในโชคชะตาบ้างไหม?

เอ เชิญยิ้ม : ไม่ครับ ณ ช่วงเวลานั้นเราต้องเอาตัวเองให้รอด พอเงินเดือนเราออกเราก็มีเงินต่อชีวิตในเดือนต่อ ๆ ไป แต่ที่เก็บอาหารทานไม่ได้ทำตลอดนะ ทำแค่ช่วงแรกตอนที่ไม่มีเงินเท่านั้น ถามว่าเพื่อนล้อไหม ไม่ครับ เพราะเราไม่ทำให้คนอื่นเห็น แอบใส่ถุงแอบไปกินในห้องน้ำ

– ด้วยความขยันเห็นบอกว่าหลังจากเก็บจานก็ได้เลื่อนตำแหน่งมาเรื่อย ๆ จนเป็นผู้จัดการ ?

เอ เชิญยิ้ม : ยังไม่ถึงขั้นผู้จัดการ จากเก็บจานได้สักพักนึงก็ไปเก็บรถเข็นอยู่ลานจอดรถ จากนั้นก็เลื่อนขั้นมาเป็นแพคกิ้ง ตอนนั้นเงินเดือนออก 2 ครั้ง ครั้งละ 2 พันกว่าบาท เดือนนึงก็ได้ สี่พันกว่าบาท ถามว่าพอไหม ช่วงนั้นมันก็สิบกว่าขวบคิดว่าเยอะแล้ว  จากนั้นก็ไปช่วยเขาโฟน แผนกโปรโมชั่นก็เลยมาเป็นพนักงานโฟนสินค้า เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ที่ 4 พันกว่าเหมือนเดิม