เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ล่าสุด (30 เมษายน 2562) เขตต์ ฐานทัพ ก็ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ ถึงเรื่องราวชีวิตตั้งแต่ก่อนเข้าวงการจนถึงปัจจุบัน พร้อมเคลียร์ดราม่าภรรยาไม่สวย ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าเลือกมาแล้ว ไม่ต้องไปแคร์คนอื่น

ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ?

          เขตต์ : ตอนนี้ก็มีดูแลการผลิตละคร แล้วก็เล่นละคร ยังอยู่ในแวดวงละครอยู่ ก็ทำทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง

อยู่วงการมากี่ปีแล้ว ?

          เขตต์ : ถ้านับตั้งแต่ถ่ายแบบก็ตั้งแต่อายุ 16 ปี ตอนนี้ก็ 20 กว่าปี ถามว่าทำไมเราอยู่ในวงการได้นาน ผมว่าหลายคนคงคิดเหมือนกัน นั่นก็คือ การมีวินัย ความรับผิดชอบต่อการทำงาน ใครไม่มีสิ่งเหล่านี้ผมว่าอยู่วงการได้ไม่นานหรอก

หลายคนไม่รู้ว่าในวัยเด็กของพี่เขตต์ผ่านอะไรหลาย ๆ อย่างยิ่งกว่าละครน้ำเน่า ?

          เขตต์ : จริง ๆ อันดับแรก ตอนเข้าวงการคิดแค่อยากแบ่งเบาภาระของคุณแม่ คือคุณแม่ผมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณพ่อผมเสียตอนผม 2 ขวบกว่า ๆ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่หาเลี้ยงเราด้วยเงินเดือน 3,000 บาท ตอนนั้นเราก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ความรับผิดชอบ ความเป็นผู้ชายก็รู้สึกว่าเราอยากให้แม่สบาย อะไรที่แบ่งเบาภาระของคุณแม่ได้เราก็จะทำ เรารู้สึกแค่ตรงนั้นเอง

เห็นว่าอยากแบ่งเบาภาระแม่ถึงขั้นไปเป็นเด็กยกน้ำแข็ง ?

          เขตต์ : คือมันไม่ได้ดราม่าขนาดนั้น จริง ๆ แล้วเราแค่ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน คือมันโรงน้ำแข็งเล็ก ๆ ของคุณลุง ซึ่งผมเรียกว่าเตี่ยเพราะถือเป็นพ่อบุญธรรม แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราปิดเทอมหรือช่วงว่างจากการทำงาน แล้วคนงานโรงน้ำแข็งก็มีช่วงหยุด เมื่อคนงานหยุดเราจำเป็นต้องช่วย ก็ทำทุกอย่างตั้งแต่กรอกน้ำแข็ง แบกน้ำแข็ง ส่งน้ำแข็งช่วยที่บ้าน

ตอนที่ไปแบกน้ำแข็งเข้าวงการหรือยัง ?

          เขตต์ : ยัง ๆ มันเป็นช่วงรอยต่อพอดี ช่วงทำน้ำแข็งเป็นช่วง 14-15 ปี พอ 16 ปี เริ่มเข้าวงการ ตอนนั้นฝึกงาน แล้วออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกับนิตยสาร เธอกับฉัน แล้วมีพี่ที่เป็นตากล้องคอลัมน์มาเจอผมก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น ได้ถ่ายแบบ เงินก้อนแรกที่ได้มาผมให้คุณแม่หมดเลย ตอนนั้นได้มา 3,000 หรือ 5,000 ผมจำไม่ได้ ซึ่งพอถ่ายแบบเสร็จก็เริ่มถ่ายโฆษณา มิวสิกวิดีโอ เริ่มเล่นหนัง

ทำงานได้ 2 ปี บอกแม่ว่า ?

          เขตต์ : ตอนนั้นอายุ 18 ปีบอกแม่ว่าแม่ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ให้ออกจากงานเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ กติกาของผมทำงานทุกบาททุกสตางค์ผมจะเปิดบัญชีให้แม่ เซ็นเบิกให้เป็นสองคน

การได้เข้าวงการทำให้ครอบครัวหรือชีวิตเราดีขึ้น ?

          เขตต์ : วงการบันเทิงให้ทุกอย่างในชีวิตของผมจนกระทั่งถึงวันนี้ แล้วก็ผู้มีอุปการคุณทุกท่านมีส่วนช่วยให้มี เขตต์ ฐานทัพ จนถึงทุกวันนี้

แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หายไปจากวงการพักนึง ?

          เขตต์ : หายไปจากกระแส มันเป็นช่วงเรตติ้งตก มันไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ซึ่งมันอาจจะมาจากเรื่องส่วนตัวด้วย ต้องยอมรับจริง ๆ เมื่อคู่จิ้นพังทลาย มันก็สลายตามไปด้วย

ใช้คำว่าอกหักได้ไหม ?

          เขตต์ : ได้เลย มันหนักหนา สาหัส คือปกติไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องหัวใจที่ทำให้กระทบกระเทือนชีวิตได้มากขนาดนี้มาก่อน

ตอนนี้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนด้วยไหม ?

          เขตต์ : เราต้องยอมรับว่าเราทำตัวเอง ทำให้เรื่องทุกอย่างมันเปลี่ยน ทำให้ทุกอย่างมันมีปัญหา คือความเกเร ความหลงระเริง ความคึกคะนองของผม แต่ว่าความประมาทในการใช้ชีวิต ติดเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติ มันทำให้เราเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น เราจะเข้าใจเลยว่าวันนึงที่เราอยู่จุดจุดนึงมันจะมีคนเข้ามาหาคุณเต็มไปหมด แต่วันนึงที่คุณดาวน์ลงทุกอย่างก็จะหายไป

แล้วมันกระทบอะไรกับชีวิตเราบ้าง ?

          เขตต์ : มันก็มีผลในเรื่องการงาน ทำให้บางสิ่งบางอย่างดรอปลง ผมยังให้ความสำคัญกับการงานอยู่ มันทำให้ผมผ่านจุดนั้นมาได้

คุณไม่ได้เสียเรื่องงาน แต่เสียเรื่องส่วนตัว ?

          เขตต์ : พฤติกรรมส่วนตัวเสีย ผมเสียศูนย์ ผมแบบไม่กลับบ้าน ผมมีอพาร์ตเมนต์อยู่ตรงนี้ ผมเปิดร้านเหล้า ผมทำทุกอย่าง

ช่วงนั้นมองค่าตัวเองดรอปลงไปใช่ไหม ?

          เขตต์ : อยากใช้ชีวิตให้มันสะใจ หนักสุดคือดื่มสิบกว่าวันติดกัน

ครั้งนี้เจ็บหนักที่สุดในชีวิตไหม ?

          เขตต์ : มันหนักที่สุดในชีวิตจริง ๆ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตอีกเลย

จุดไหนที่เราคิดว่าต้องเรียกสติกลับมา ?

          เขตต์ : จุดที่คิดว่าชีวิตเรามันไร้สาระมากเกินไปแล้ว

ตอนนั้นต้นสังกัดเรียกเข้าไปคุย ?

          เขตต์ : มันเป็นช่วงหลาย ๆ อย่าง ตอนนั้นเป็นช่วงเรตติ้งตก ก็เข้าไปถามเหตุผลกับทางต้นสังกัด ต้นสังกัดยอมรับตรง ๆ ว่าเรื่องส่วนตัวมันมีผลทำให้เรตติ้งคุณตก พอเรตติ้งตกคุณจะไม่ได้ในสิ่งที่เคยได้ การเป็นพระเอกหลังข่าวมันจะยากแล้ว
บอกตัวเองได้ไหม ทำไมเราเจ็บหนักขนาดนี้ ?

          เขตต์ : อะไรที่มันไม่เคย ครั้งแรกมันมักจะเจ็บเสมอ ภูมิต้านทานมันยังไม่มี

แต่หลังจากมีภูมิต้านทานแล้วชีวิตคุณก็ดีขึ้น ?

          เขตต์ : ก็ดีขึ้น เป็นผู้เป็นคนขึ้น มีคนมาช่วยประคองสติมากขึ้น

มีโอกาสคุยกับอดีตคู่จิ้นไหม ?

          เขตต์ : เจอหน้าทักทายกันได้ปกติ ผมว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีความรู้สึกดี ๆ ให้กัน มีความห่วงใย เป็นห่วง

อะไรที่ทำให้เรารู้ว่าเราปลดล็อกตัวเองได้แล้ว ?

          เขตต์ : วันนึงเรามาถึงจุดจุดนึงที่ถามตัวเองว่าชีวิตจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน ชีวิตต้องการอะไร เราก็เลยพยายามจะหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิต ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงสงกรานต์ ปกติเราไม่เคยไปไหน เมาตลอด 3 ปี พอปีนั้นก็เลยเปลี่ยนที่อยู่ขึ้นไปเชียงใหม่ ก็ไปเจอกับภรรยาที่นู่น บังเอิญมาก จริง ๆ ลูปเราใกล้กันมาก เพราะเขาเป็นรุ่นน้องของเพื่อนผม ตอนนั้นเขาเป็นวีเจ ไปทำงานที่นู่น


มันปิ๊งกันเลยไหม ?

          เขตต์ : ผมจำเขาได้ เอาจริง ๆ แล้วผมชอบผู้หญิงหมวย ๆ แล้วเขาเป็นผู้หญิงหมวย ตรงสเปกอันดับแรก อันดับที่สองคือเขาเคยถ่ายโฆษณาตอนอายุน้อย ๆ ที่ผมจำได้ คือสตอรี่มันน่ารักดี ผมมีความรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าเก๋จังเลย ไม่น่าเชื่อว่าวันนึงจะมาเจอเขาจริง ๆ ก็เลยถามว่าน้องครับ น้องใช่คนที่เคยถ่ายโฆษณาอันนี้ไหม เขาก็แปลกใจทำไมผมจำได้

เห็นว่าเจอครั้งแรกคุณรู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ของลูก ?

          เขตต์ : คือผ่านการคุย สมมุติว่าผมเจอเขาห้าทุ่ม วันนั้นเรานั่งคุยกันเกือบ 9 โมงเช้า มันก็ทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนยังไง คือเขาเก่ง มีบริษัทของตัวเองตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย คือความรู้สึกเราคิดว่าอยากให้ลูกเป็นยังไงก็หาแม่ที่เป็นแบบนั้น แล้วเขามีความคิดที่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไป

คบกับน้องแนทนานไหมถึงจะแต่งงาน ?

          เขตต์ : คือวันนั้นคุยกันแล้ว แต่ผมต้องเคลียร์ตัวเองประมาณ 3-4 เดือน คือเคลียร์สิ่งที่ผมสร้างไว้ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นช่วง 3 เดือนเรายังไม่กล้าขอเป็นแฟน ก็คุยไปและเคลียร์ไปด้วย ก็ตกลงเป็นแฟนกัน จากนั้นก็เริ่มคุยกันจริงจังว่าเราไม่ได้คบกันเล่น ๆ นะ เราคบเพื่อสร้างอนาคตร่วมกันนะ ถามว่าขอแต่งงานตอนไหน เอาจริง ๆ ไม่ได้ขอ มันเป็นอะไรที่รู้กัน จนกระทั่งวันที่ตกลงแต่งก็เลยมีเซอร์ไพรส์คุกเข่าขอแต่งที่หาดทราย คือตลอดเวลาที่คบกันเราก็คุยเรื่องแต่งงานมาตลอด


แต่ตอนที่พี่เปิดตัวเรียบร้อยแล้ว มันก็จะมีกระแสข่าวค่อนข้างหนักว่า แนทไม่สวยเท่ากับคู่จิ้น ?

          เขตต์ : ต้องยอมรับว่ามี แล้วก็ค่อนข้างทำให้แนทบั่นทอน เราสงสารเขา คือมันโดนเขาเต็ม ๆ เขาเสียใจร้องไห้เลย ผมก็ให้กำลังใจเขา ผมบอกว่าผมเป็นคนที่เลือก ผมเลือกเขาแล้ว ไม่ต้องแคร์คนอื่น จงเชื่อมั่นในตัวผม และด้วยความที่เขาเป็นนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก เขาก็เริ่มทำให้ผมเรียนรู้ที่จะทำงานมากกว่าการทำงานในวงการ

ทำอะไรกันบ้าง ?

          เขตต์ : ทำเคเบิลทีวี เคเบิลก็กระเด็น ทำคลื่นวิทยุ โฆษณาไม่เข้าเป้าติดลบเดือนละ 3 ล้าน แต่ไม่เข็ด มีวิทยุอีกหนึ่งคลื่น อันนี้ไม่ต้องลงทุนแค่ลงแรงบริหาร แต่ก็ไปไม่ได้อยู่ดี

ทั้งหมดทั้งมวลเรียกว่าหมดตัวเลยไหม ?

          เขตต์ : ก็ใช้ได้พอสมควร แต่ยังไม่หมดนะ มีรายการทีวี ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ให้ภูมิคุ้มกันในการทำงานครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งคอนเสิร์ตเกาหลีก็จัดนะ และเจ็บหนักสุด ตัวแรกที่ทำด้วยความที่ศึกษาน้อย เรารู้ว่าเขามีกระแสจริง แต่เราลืมคำนวณว่ากระแสเขาอยู่ประมาณไหน ทำให้เราคำนวณคอร์สผิดพลาด คือการจัดคอนเสิร์ตเราไม่มีหนี้แต่เจ็บ ๆ เราหมดไปเป็นสิบล้าน แต่หลังจากนี้ก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ