ล่าสุด ผู้กองเบนซ์ ไลฟ์โค้ชชื่อดัง โดนฉะแหลกกลางทวิตเตอร์ ปล่อยคลิปหาว่าคนอยู่บ้านเฉย ๆ ช่วงโควิด วัน ๆ เสพคอนเทนต์สนับสนุนความกระจอก งานมีเยอะแยะไม่รู้จักไปทำ คนฉะ พูดจาดูถูกคนอื่น คนแต่ละคนต้นทุนต่างกัน ตัวเองไม่กระทบจากโควิด ก็ไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าคนที่ได้รับผลกระทบโดยเรื่องนี้กลายเป็นดราม่าร้อน ๆ ที่ขึ้นแท็กอันดับ 1 ไปแล้ว สำหรับผู้กองเบนซ์ ไลฟ์โค้ชชื่อดัง ที่ออกมาให้ความเห็นแบบแรง ๆ ในช่วงโควิด 19 ถึงคนที่อยู่บ้านแล้วไม่ได้ทำงานเพราะได้รับผลกระทบ จนความเห็นแตกเป็น 2 ฝ่าย บางฝ่ายก็มองว่าสิ่งที่ผู้กองเบนซ์บอก เป็นสิ่งที่ดี ช่วยปลุกใจ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มองว่า ผู้กองเบนซ์คิดไม่รอบด้าน พูดแบบนี้ไม่ต่างกับการซ้ำเติมคนที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วทั้งนี้ ในคลิปที่ปล่อยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2563 ผู้กองเบนซ์พูดถึงกรณีที่ในจีนมีคนเปิดผับออนไลน์ ทุกคนสามารถเมาหัวทิ่มได้ และถือเป็นโอกาสในช่วงโควิด ในช่วงนี้มีโอกาสต่าง ๆ มามากมาย แต่หลายคนกลับไปยึดติด คิดลบ ขี้เกียจ ฟุ้งซ่าน วัน ๆ เสพคอนเทนต์กระจอก เรียกหาความรับผิดชอบจากคนอื่น และกลับมาคิดว่าที่จะฉิบหายทุกวันนี้ “เป็นเพราะวิกฤตหรือเป็นเพราะวินัยของมึง”
ทั้งนี้ หลายคนมองว่าคลิปนี้ของผู้กองเบนซ์ กลายเป็นแรงบันดาลใจดี ๆ ให้คนออกมาหาโอกาสทำในช่วงวิกฤต บางคนพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หาเวลาว่างจากการทำงาน หรือเวลาว่างในช่วงนี้ มาลองทำงานใหม่ ๆ แล้วขายออนไลน์แทน
ทว่า ในโลกของทวิตเตอร์นั้น กลับมีคนที่มองว่าสิ่งที่ผู้กองเบนซ์สอน ไม่ต่างจากการซ้ำเติมคนที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว การบอกให้คนไปขายของออนไลน์ ทำอาหารขาย ขับไลน์แมน ก็ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมันมีต้นทุนของมันอยู่แล้ว ทำอาหารขายก็ต้องมีฝีมือ ขายของออนไลน์ก็ต้องมีทุน หรือขับรถส่งอาหารก็ต้องมีมอเตอร์ไซค์ แต่จะทำอย่างไรถ้าคุณไม่มีทุนเลยสักบาท คนเป็นแสนต้องหยุดงาน จะให้ทุกคนไปขับไลน์แมนหมดหรือ ?
นอกจากนี้ยังได้มีคนยกคำพูดของ J.K. Rowling นักเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ออกมาบอกว่า การที่พวกไลฟ์โค้ชบอกว่าคนอื่นขี้เกียจ ขาดแรงกระตุ้นที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ในช่วงที่เกิดวิกฤต ไม่ใช่การพยายามปลุกใจ แต่มันคือการประณามหยามเหยียดคนอื่น หากการ “ทำงานอย่างอื่น” สามารถรักษาความหดหู่ได้ คงไม่มีคนรวยหรือคนบ้างานคนไหนที่ฆ่าตัวตายหรอกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปฏิกิริยาทั่วไปของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อสิ่งที่อันตรายและความยากลำบากอยู่แล้ว ปล่อยให้เราได้รู้สึกในสิ่งที่เรารู้สึก และยอมรับว่าเราเองก็มีเหตุผลที่จะรู้สึกอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นเส้นทางที่ดีกว่าที่จะทำให้สภาพจิตใจของเรากลับมาดีขึ้นได้ ดีกว่ามานั่งโทษตัวเองว่าเราไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่จนเอาตัวรอดจากวิกฤตไม่ได้
