เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณีโลกออนไลน์แชร์เรื่องราวของ ลุงสิทธิ์ชัย อายุ 72 ปี ซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าชีวิตเหมือนหนังในละคร และตอนนี้ก็ไม่มีกินแล้ว ต้องปรับตัวเองให้อยู่รอด เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่ารถวันละ 300 บาท เลยต้องมารับจ้างส่งพัสดุแทนรับส่งผู้โดยสาร หลังมีการเผยแพร่ออกไปในโลกโซเชียลมีคนหลั่งไหลโอนเงินเข้ามาช่วยในคืนเดียวกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้ลุงสิทธิ์ชัย บอกว่า จะเอาไปสร้างบ้านอยู่เพราะยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง และจะนำเงินไปบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาล รักษาผู้ป่วยโควิด ซื้ออุปกรณ์ดับไฟป่า และให้มูลนิธิ เพื่อคนขับแท็กซี่ และยังบอกว่าบ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านเช่าและอยู่คนเดียว

สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าวนั้น ทางด้านของ นายปรีชา อายุ 49 ปี เจ้าของอู่แท็กซี่มังกรเจ้าพระยา ที่คุณลุงสิทธิ์ชัยมาเช่ารถแท็กซี่ขับอยู่ ได้ออกมาเผยพฤติกรรมของลุงว่าเป็นคนลวงโลก ไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่ออีก

โดยนายปรีชา ได้เล่าว่า สิ่งที่ลุงพูดไม่เป็นความจริง ตรงที่บอกว่าอยู่คนเดียว เพราะจริงๆ แล้วอยู่กับลูกและหลาน ซึ่งลูกชายก็มาเช่ารถแท็กซี่ที่อู่ตนขับอยู่ ทุกคนมีงานทำ แต่ไปหลอกลวงสังคมว่าอยู่คนเดียวไม่มีจะกิน ก็อยากให้สังคมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริง บ้านที่อยู่ก็ไม่ได้เช่าใคร เป็นบ้านของเมียเก่าที่เขาให้ลูกชายอยู่ จ่ายแค่ค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น ซึ่งลูกเขาก็มีงานทำไม่ได้ยากไร้อย่างที่เขาพูด

พฤติกรรมของเขาก็คือถ้าติดหนี้แล้วไปทวงก็ไม่ได้ และเขาไม่มีความรับผิดชอบ อย่างรถเสียเขาก็จะไม่รับผิดชอบเลยบอกว่ามันพังเอง ซึ่งเคยตกลงกันว่าช่วยกันดูแลเพราะรถอยู่กับเขา ค่าเช่าเราก็คิดกะเดียวแบบควงกะวันละ 700 บาท ซึ่งลุงเขาก็เป็นคนใจน้อยสะกิดอะไรไม่ได้

ล่าสุด เขาหนีไปเช่าที่อื่น ทั้งๆ ที่ค้างค่าเช่าตนไว้ประมาณ 1,400 บาท ในส่วนตัวของเขาและค่าค้ำประกันของลูกชายที่ค้างไว้อีก 13,970 บาท รวมแล้ว 2 คนทั้งพ่อและลูก 14,970 บาท พอไปตามที่บ้านก็ไม่เจอ โทรศัพท์ไปก็ไม่ติด ตนจึงได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่โรงพัก สภ.บางปู เอาไว้ คือเราต้องการให้เขากลับมาใช้หนี้ที่ค้างไว้เท่านั้น และอยากจะฝากบอกเขาว่า อย่าไปหลอกลวงสังคมอีก ทุกคนที่เขาลำบากกว่าตัวเขายังมีอีกเยอะ

“ในตอนแรกที่ลุงสิทธิ์ชัย ได้รับเงินบริจาคมาแล้ว ที่ผมไม่ออกไปเรียกร้องตอนนั้น เป็นเพราะว่าผมมองว่า มันไม่ใช่เรื่องของผม รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลุงสิทธิ์แหกตาสังคม การที่ตนออกมาในครั้งนี้เพราะไม่อยากให้คนอื่นถูกหลอกอีก และอยากให้รู้ว่าคนคนนี้ลวงโลก เขาไม่ได้น่าสงสารอย่างที่คนอื่นคิด เราไม่ได้ไปอิจฉาเขาเลย เพราะตนไม่ได้สนใจแต่ตนสนใจหนี้ของตนที่ติดอยู่ทำไมไม่จ่าย ทวงถามก็เงียบ เขาพ่อลูกกันอยู่ด้วยกันยังไงก็ถึงกันเพราะเขาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้หาตัวทั้งพ่อทั้งลูกไม่เจอแล้วโทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ก็อยากจะฝากถึงคนที่จะบริจาค ว่าเวลาที่จะบริจาคอะไรเช็คกันดูให้ดีดี เพราะอย่ากรณีเคสแบบนี้มาร้องไห้ ให้คนสงสารแล้วก็แห่โอนเงินกัน คนที่เขาลำบากจริงก็มี แต่คนที่พูดใส่ไข่แบบว่าให้สงสารก็มีเยอะ ก็อยากให้พิจารณาให้ดีดีหน่อยเพราะเงินทุกวันนี้ก็หายาก”