เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

สำหรับ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี และ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หลังออกมาตอบโต้กันไป-มา ไม่รู้จบ กับกรณีแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศ ให้มีบทลงโทษตามกฎหมายอาญา จนกระทั่งเปิดศึกสาดน้ำลายที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูท่าทางจะไม่จบง่ายๆแน่นอน

เอ๋ ปารีณา ได้โพสต์ข้อความของ ปวีณา หงสกุล ขณะกอด หญิงสาว พร้อมข้อความว่า “มูลนิธิปวีณา หงสกุล โทร 1134 ก่อตั้งแต่ปี 2542นี่คือ #ภาพนางฟ้าที่จะปกป้องเด็กและสตรี”

จากนั้นก็ได้โพสต์ข้อความต่อว่า  “#ภาพย้อนแย้งวันนี้หลายท่านกำลังเห็นภาพย้อนแย้งของสตรีที่กระตุ้นกามกำลังต่อต้านการข่มขืนอนิจจัง” ที่งานนี้ใครก็รู้ว่าเอ๋ปารีณากำลังแขวะเหน็บแนมสาว บุ๋ม ปนัดดา นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ปวีณา หงสกุล  มีภาพลักษณ์ที่ทุกคนรู้จักดี คือ เป็นผู้ที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาผู้หญิงและเยาวชน

โดยมี มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์การสาธารณประโยชน์) เป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมักจะมีผลงานปรากฏตามสื่อมวลชนเป็นระยะ ๆ ซึ่งบทบาทในด้านนี้ของ ปวีณาโดดเด่นมาก จนได้รับการขนานนามว่า “แม่พระ”

มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์การสาธารณประโยชน์) ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2542 มีนางปวีณา ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์การสาธารณประโยชน์)

โดยมูลนิธิฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ความช่วยเหลือกับเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ ถูกทารุณกรรม ถูกเอารักเอาเปรียบ ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้รับความเป็นธรรมและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้เป็นปกติสุขอย่างถาวรสืบไป เป็นการช่วยเหลือรัฐบาลในฐานะพลเมืองดีอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้เปิดสายด่วน “1134” และ “ตู้ ปณ.222 ธัญบุรี” เพื่อรับเรื่องร้องทุกข์อีกด้วย

โดย ปวีณา หงสกุล  ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการก่อตั้งมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์การสาธารณประโยชน์) ว่า “จุดมุ่งหมายของมุลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ที่ตั้งขึ้นมานั้น เราจะทำในกรณีที่ได้รับการร้องขอ ร้องเรียนให้เข้าไปช่วย โดยถ้าเป็นในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปช่วยเหลือแล้วนั้นเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเราจะทำอย่างเดียวคือต้องเข้ามาร้องขอให้เราเข้าไปช่วย ไม่ว่าจะเป็นกรณีเด็กถูกข่มขืน

ดยทารุณกรรม ถูกละเมิดสิทธิ ใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย กรณีต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อเราได้รับการร้องทุกข์แล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการเชิญเจ้าทุกข์เข้ามาที่มูลนิธิเพื่อให้ข้อมูล ถ้าเห็นว่ามีน้ำหนัก จากนั้นก็จะมีชุดเฉพาะกิจของเราเข้าไปสืบก่อนล่วงหน้าว่าเป็นจริงที่ตามได้รับหารร้องเรียนมาหรือไม่ ถ้าข้อร้องเรียนมีมูลเราก็จะประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ซึ่งเจ้าทุกข์ได้ไปแจ้งความไว้แล้วเพื่อดำเนินการต่อไปเป็นการช่วยเหลือทางราชการอีกทางหนึ่ง และเมื่อเราได้ช่วยเหลือเด็กแล้ว ก็จะต้องดูต่อไปว่า เด็กสามารถที่จะอยู่กับครอบครัวได้หรือไม่ ถ้ากรณีเด็กต้องการฟื้นฟูสภาพจิต หรือฝึกอาชีพ เราก็จะประสานงานกับกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมต่อไป แต่สำหรับกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ มูลนิธิฯ จะดูแลต่อไปจนสิ้นคดีนั้น”