เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ที่เป็นตัวแทนสายตาผู้คนนับล้านที่มองเห็นภารกิจช่วยเหลือผู้คนมาตลอดระยะเวลา 30 ปี ของนักแสดงหนุ่มฉายา พระเอกเก็บศพ หรือ พระเอกสัปเหร่อ คนนี้ ที่ได้มาเยือน รายการต้มยำอมรินทร์

เผยว่าแม้ปัจจุบันจะลดบทบาทการเก็บศพลง แต่สิ่งที่ยังยึดมั่นเสมอคือ ความตั้งใจ ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง แบบไม่มีผลตอบแทน เพราะทุ่มเทเวลาทำหน้าที่จิตอาสาตลอดเวลาจนทำให้เลิกคิดเรื่อง ความรัก

เรียกว่าทิ้งวงการไปไหม เพราะภาพส่วนใหญ่ที่เห็นจะอยู่กับการช่วยเหลือ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ไปๆ มาๆ ครับ ถ้าช่วงไหนเรารู้สึกว่าเราอยากทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมกับประเทศชาติทำแล้วอยากจะแบ่งปันความสุขให้กับคนอื่นบ้าง เราก็เชิญชวนมาทำความดีร่วมกันเพราะมันไม่มีลิขสิทธิ์ในการทำความดีใครทำก็ได้ และเราก็ทำงานในวงการบันเทิงบ้างทำหนังบ้าง เล่นละครบ้าง ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ทิ้งวงการนะ เราเกิดมาจากวงการบันเทิง”

แล้วเคยไหมที่ตื่นมาแล้วขี้เกียจไม่อยากทำอะไรเลย รู้แหล่ะว่าลุกไปมันมีประโยชน์แต่วันนี้ขอสักวันที่ไม่อยากทำมีบ้างไหม

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ไม่เคยมีเลยนะ เพราะเราจะมีตารางเราเลยแล้วเราก็จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเรามีอะไรต้องทำอะไรบ้าง ตื่นมาเราจะดูหน้าแฟนเพจก่อนเลยว่ามีใครเดือดร้อนไหมถ้ามีใครที่เดือดร้อนเราก็ออกไปช่วยเขาก่อนเลยเพื่อให้เขารู้สึกว่าได้มีกำลังใจ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องกังวล หรือ รอคอย ความช่วยเหลือเรารู้เราก็รีบยื่นมือไปช่วยเขาเลย”

แล้วเคยว่าแพลนไปเที่ยวหรือใช้ชีวิตส่วนตัวของตัวเองบ้างไหม

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “สำหรับคนโสดแบบผม ไม่เคยมีแพลนแบบนั้นเลยครับ คือใน 10 ปีมานี้ผมไม่เคยมีแฟนเลย เพราะเคยมีแล้วเขาเข้าใจในการทำงานเรานะครับ แต่เขาก็น้อยใจ ถ้าเราจะทุ่มเทแบบนี้เราไม่มีแฟนดีกว่า การที่เราไม่มีแฟนมาเคยห่วงใย มาคอยโทรศัพท์รายงานตัวว่าเราอยู่ที่นั้นที่นี่ เรารู้สึกว่าการทำงานกับสังคมเราสบายใจ มันได้เต็มที่อยู่ไหนก็ชั่งเราไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ทุกเวลาทุกชั่วโมง มันเป็นอะไรที่มันไม่ใช่สำหรับตัวเรา เราเคยมีแฟนมา 2 คน คือ คนแรกที่คบเขาให้เราเลิกทำงานมูลนิธิให้เลือกเขา เราก็บอกเขาว่าก่อนที่เขาจะมาคบกับเราคือเราทำงานมูลนิธิอยู่แล้ว แล้วมาถึงจุดหนึ่งที่เขาเห็นเรารักเขามากขาดไม่ได้เขาเลยยื่นข้อเสนอนี้มา เรานั่งคิดอยู่สองวัน เราก็ตัดสินใจบอกเลิกเขาเลยเพราะงานมูลนิธิมันอยู่ในใจ คือ สายเลือด แต่เขาเพิ่งคบกันเราประมาณ 6-7 ปี มันคือ ความผูกพัน แต่ถ้าไม่ให้ผมทำงานเพื่อสังคมผมอยู่ไม่ได้ เลิกกับเขาแล้วผมทำใจอยู่ 2 เดือนแล้วผมอยู่ได้ เพราะว่าเรามีงานตรงนี้”

แล้วมีคู่จิ้นไหม พี่บุ๋ม ปนันดา

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ไม่มีครับ ไม่ใช่พี่บุ๋ม คือ เรามีใจตรงกันในการทำจิตอาสาเจอกันก็กอดกัน เขาบอกเราว่าพี่มีใจขนาดนี้ทุ่มเทให้กับตรงนี้เต็มที่มาๆนับถือใจเรา แล้วคือ อยากจะบอกว่าผมกับ บุ๋ม คือไม่มีอะไรเลย ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่เวลาเราเจอเราสนิทกับเราก็ทักทายกันถ่ายรูปลงคู่กันทุกคนก็จะแซวเราแต่จริงๆไม่มีอะไรครับ” 

แปลว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคือ ปิดประตูหัวใจ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ไม่ได้ปิดนะครับ ไม่ได้สนใจมากกว่า เพราะเราสนใจแต่งานนี้ แล้วคือ เราไม่ได้มีความมุ่งมั่น เราเจอผู้หญิงสวยๆเราต้องเข้าไปขอเบอร์ไม่เคยมีอย่างนั้น แต่มีแต่คนเข้ามาคุยกันเรื่องงาน ดูแลตัวเองด้วยนะ โน้นนี่ เราก็ขอบคุณมากๆครับ ถ้าต้องไปกินข้าว ดูหนัง ไม่มีตรงนั้นครับ”

ที่ไปไม่ได้เพราะทำงาน 7 วัน

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ก็ไม่ได้ถึงกับ 7 วันนะครับ ที่เราทำงานมาทั้งหมดก็ 33 ปี”

งานที่จะมาถึงหูได้ต้องเป็นเคสระดับไหนเอ่ย

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ผมจะพิจารณาดูว่าถึงเขาจะเป็นเคสเล็กๆแต่เขามีความจำเป็นจริงไหม เขาต้องการเงินไหม เขาต้องการความช่วยเหลือยังไงบ้าง”

ใครเป็นคนสแกนก่อนสำหรับงานต่างๆ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “จะมีแฟนคลับอยู่กลุ่มหนึ่งเข้าไปดูหน้าแฟนเพจของเรา เขาก็จะเป็นคนส่งเคสมาให้เราว่า พี่บิณฑ์ เคสนี้น่าสงสาร เคสนี้รอก่อนได้ไม่เป็นไร เคสนี้หนัก เราก็จะเหลือ บ้างวันออกสามเคส บางวันออกสี่เคส ถ้าเราออกต่างจังหวัดเราก็จะดูรายทางว่าเขามีเคสอะไรไหม เราจะได้แวะไปตามทางที่เราเดินทางไป”

ขนาดมีคนสกรีนให้แล้ว ตรวจแล้วแต่ยังมีเลือกเคสพลาด

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “เราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำกับเรา ที่เขาต้องการจากเรามันไม่ใช่เรื่องจริง อย่างเช่น ผมไปถึงหน้าเคสแล้วผมตัวสั่นมาก พยายามระงับสติอารมณ์ ผมโกรธมากผมขับรถจาก กรุงเทพ ไปนครสวรรค์ 3 ชั่วโมงกว่า เพราะเขาบอกเราว่า ลูกกำลังจะตาย ไม่มีเงินซื้อนม จะพาลูกไปหาหมอ เราก็เร่งรีบเพื่อที่จะไปช่วย พอเราถึงเขาก็ตะโกนกันใหญ่ว่าพี่บิณฑ์ มาแล้วเขาก็กระโดดมากอดเรากันใหญ่ คือ ไม่มีความเศร้า หรือ อะไรกันเลย เราก็ถามแล้วเคสที่น้องบอกพี่ล่ะ ไม่มรค่ะ อยากเจอพี่บิณฑ์เฉยๆชอบมากกอดหน่อย ตอนนั้นเราได้บอกเขาว่าทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก เพราะยังมีคนที่เดือดร้อนเขาอยากได้ความช่วยเหลือ”

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : “ส่วนอีกเคส คือ เป็นการทำมาหากินของเขานะ เป็นมิจฉาชีพ มีคนพิมเคสมาให้เราว่าให้เราไปดูหน่อยผู้ชายคนนี้น่าสงสารมา ไม่มีข้าวจะกิน มาตามหาลูกสาว ไม่มีใครสนใจเลย จะกลับบ้านแต่ไม่มีเงิน เราก็ไปเลยที่ สมุทรปราการ เราก็ถามหาคนบริเวณนั้นเขาก็ไม่มีใครรู้จัก แต่อยู่ๆเขาก็เดินมาแล้วเป็นลมไปต่อหน้าเราเลย เราก็รีบวิ่งไปรับแกไม่ได้สติอะไร เราเลยนำส่งโรงพยาบาล แล้วบอกหมอว่าค่าใช้จ่ายเรารับผิดชอบเอง แล้วเราก็ไปงานต่อ แล้วก็กลับมาดูแกอีกครั้งช่วงบ่าย”

“แต่พอไปถึงหมอบอกว่าลุงหนีไปแล้ว เราคิดว่าแกตื่นมาคงตกใจว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เราก็ไปตามหาแก แล้วไปเจออยู่ที่โรงพัก เราก็เข้าไปคุยกับลุงแกก็ดรามาาใส่เราเลยว่าแกมาตามหาลูกสาว แต่อยากกลับบ้านเราก็เลยถามว่าแล้วหนีออกจากโรงพยาบาลทำไม แกบอกอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอกเพราะแกมาตามหาลูกสาว (แต่ลุงเขาไม่รู้นะครับว่าผมคือบิณฑ์) ผมเลยถามว่าลุง จะเอายังไง แกบอกจะกลับบ้านเราก็สั่งให้ลูกน้องไปซื้อตั๋วให้ลุงเลย 2 ใบ ให้แกนั่งสบายๆ แล้วก็ให้เงินลุงไป 5,000 บาท เราก็บอกลุงไม่ต้องมา กรุงเทพ แล้วนะ เราก็บอกคนขับรถทัวร์ว่าถึงลุงถึง สุรินทร์ แล้วโทรมาบอกเราด้วยนะ พอเราแยกจากเขา สามทุ่ม ห้าทุ่มคนขับรถทัวร์โทรมาหาเราเลยว่า ลุง มันอาระวาดหนักมากเลยในรถแกจะลง แล้วก็ต้องจอดให้เขาลง เขาคงกลับมาหากินเหมือนเดิม มันก็มีอีกหลายๆเคยที่ผมเจอหนักบ้าง เบาบ้าง การหลอกหลวงมันมีหลายรูปแบบมากๆ แต่เราก็รู้สึกว่าเมื่อใจเราตั้งใจจะทำ จะช่วยเหลือแล้ว พวกเคสแบบนี้มันก็ต้องเจอบ้างเพราะจะได้เป็นกรณีศึกษาของเรา”