เรียกได้ว่าเป็นกระแสดราม่าสนั่นโซเชี่ยลเป็นอย่างมาก สำหรับนักแสดงและพิธีกรรุ่นใหญ่ของวงการบันเทิงอย่าง “พี่ม้า อรนภา” ที่ด่าเด็กชู3นิ้ว จนโดนกระแสตีกลับอย่างหนักหน่วง จนโดนปลดออกจากรายการหลายรายการ อีกทั้งโดนบลูลี่เพศสภาพ
ล่าสุด! “ม้า อรนภา” ได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ ถามสุดซอย Weekend กับพิธีกร หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ พร้อมกับเปิดใจชีวิตตลอด 2เดือนที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง…
เกือบ 2 เดือนแล้วที่หายไป?
“จวนแล้ว ไม่ได้หายแค่หน้าจอ ไอจี กับเฟซบุ๊กก็หายด้วยเหมือนกัน ไม่ลงอะไร ไม่เล่นอะไรใดๆ ทั้งสิ้น”
สภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
“ก็สบายดี”
ช่วงใหม่ๆ ที่เกิดเรื่อง?
“ก็ต้องบอกว่าเสียใจ ที่มันเกิดขึ้น คนที่ทำงานตลอดทุกวัน ไม่เคยหยุดเลยนะตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ มาแต่งหน้าแล้วเป็นนางแบบ จนเล่นละคร เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ไม่เคยหยุดเลยสักวัน อยู่ดีๆ ก็โชะ มันก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่ถามว่าเสียใจมากมั้ย เสียใจไม่มาก ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ได้ปฏิบัติธรรม ก็เลยทำให้รู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
ตอนโดนบูลลี่หนักๆ อะไรที่รู้สึกแรงที่สุด?
“การเอาเพศสภาพเข้ามาเป็นการบูลลี่ จริงๆ แล้วคำด่าหยาบคายเจอมาเยอะมาก ดิฉันโดนทัวร์ลงมาตั้งนาน หลายคดี เป็นคนตรงไปตรงมาและมักไม่ค่อยระวังคำพูดบางครั้ง เช่น มีอยู่ครั้งนึง เราพูดเรื่องการเล่นสงกรานต์
ตอนนั้นรัฐบาลบอกว่าไม่อยากให้ช้รถกระบะและมีน้ำอยู่หลังรถกระบะแล้วสาดกัน เพราะมันอันตราย ขับไปคนอาจตกลงมาเสียชีวิตเกิดอุบัติเหตุได้ พิธีกรร่วมที่นั่งอ่านข่าวด้วยเขาบอกว่าเป็นวัฒนธรรม
ดิฉันก็บอกว่าวัฒนธรรมเลวน่ะสิ แค่นั้นโดนด่าไป 4 วัน ตอนนั้นไปเที่ยวต่อช่วงสงกรานต์ ดิฉันไปตุรกี โปรตุเกส ก็ด่าดิฉันไปถึงตุรกี โปรตุเกส (หัวเราะ)”
ในความรู้สึกบางอย่างอาจถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ?
“ก็น่าจะใช่ ดิฉันใช้คำตรงและแรง อาจไม่ถูกใจคนบางคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง รวมทั้งล่าสุดก็เหมือนเป็นการเตือน แต่เป็นคนที่ใช้คำอะไรตรงไปตรงมา ก็จะดูแรง”
โดนเรียกว่าลุงพรชัย?
“อันนี้ที่อยากตอบ การด่ากันไม่เจ็บปวดหรอก ไม่ได้โดนเนื้อตัว โดนตบ โดนทิ่มแทง ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ แต่เรื่องการบูลลี่เรื่องเพศสภาพ ดิฉันว่าคนมาบูลลี่คุณเรียกร้องสิทธิมนุษยชน
เห็นบางรายการคนเป็นพิธีกรนำก็เรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่ว่าการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนแบบนี้แล้วทำไมถึงทำเองซะล่ะ ทำไมเป็นผู้กระทำเอง ขณะที่คุณเรียกร้อง ดิฉันไม่เคยไปก้าวก่ายสิทธิมนุษยชนคนอื่น
สังคมปัจจุบันที่วัยรุ่นยุคใหม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แสดงพฤติกรรมและกิริยาออกมา ในสายตาพี่ม้ามองยังไง?
“จริงๆ แล้วโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน อย่างยุคของดิฉัน ก็เป็นยุคการเปลี่ยนแปลง พ่อแม่ก็รับไม่ได้เหมือนกัน เป็นเรื่องที่สิ่งใหม่ๆ เข้ามา รุ่นดิฉันเป็นรุ่นพ่อแม่ที่มีลูก และมักสั่งสอนว่าแกต้องมีความคิดเป็นของตัวเองสิ แกอย่าดักดานสิ แกต้องรู้จักการแสดงออก
เพราะเด็กสมัยก่อนไม่กล้า ผู้ใหญ่พูดอะไรก็ไม่กล้าพูด แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไป เด็กสมัยนี้เขาไม่ได้สัมผัสสิ่งที่ดิฉันสัมผัสมาในส่วนความเป็นอดีตกาล มันเลยลำบากอยู่พอสมควรเหมือนกัน เขาก็จะคิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันมีความคิดแบบนี้ ฉันสามารถเถียงได้ พูดได้ เลยเกินไปถึงความก้าวร้าว
คุณจะไม่นอบน้อมก็เป็นสิทธิที่คุณเรียกร้อง สิทธิส่วนบุคคล สิทธิมนุษยชน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องมีความเป็นไทยอยู่ เพราะเราจะไปเป็นฝรั่งผมทอง ตาฟ้าก็คงเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีกำพืดเก่าอยู่แล้วถึงคุณจะไปย้อมผมใส่คอนแทคเลนส์ยังไง กำพืดเราหนีไม่พ้น แล้วกำพืดที่เรามีอยู่เป็นสิ่งที่น่ารัก ฝรั่งเองซะด้วยซ้ำที่เขาชอบของเรามากนะ มันมีเอกลักษณ์ เจอกันก็ยกมือไหว้กัน เราถึงไม่ติดโควิดไง(หัวเราะ)”
ช่วงที่ผ่านมา คุณม้ากับแม่ต้องทำห่อหมกขาย แต่จริงๆ แล้วผิดเหรอ
คุณแม่ตนเป็นเคยช่างทำผมมาก่อน แล้ววันหนึ่งก็ย้ายร้าน เราอยู่อาคารพาณิชย์ตลอด พอย้ายมาอีกฝั่ง แกก็เปลี่ยนเป็นร้านอาหาร พอหนี้สินของตึกหมดแล้ว แกก็เลิกทำร้านอาหาร เอาร้านเสริมสวยมาอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ยังเอาขนมหวานมาขายหน้าร้าน และขายห่อหมกด้วย เราทำมานานมาก จนมาเลิกทำขนมไป เหลือแต่ห่อหมก แม่ทำมานานมากแล้ว จนกระทั่งช่วงที่ล็อกดาวน์ ผู้ช่วยของแม่ขอลาออกกลับไปอยู่ต่างจังหวัด เราก็เลยบอกให้แม่เลิก เพราะคุณแม่มากแล้ว อย่าทำเลย ถ้าไม่มีผู้ช่วย อยู่คนเดียวแกก็เครียด ก็หยุดไปเลย ไม่ได้ทำอีก
ตอนนั้นตนยังบอกว่าให้เอาซึ้งไปให้คนอื่นไหม น้องสาวบอกให้เก็บไว้ก่อน พอหลังเลิกล็อกดาวน์แล้ว ทุกอย่างเปิดมากขึ้น น้องสาวเขาก็กลับมาทำผมต่อ แต่ร้านทำผมไม่ได้กลับมาดีเหมือนเดิม คนเริ่มประหยัดมากขึ้นต่าง ๆ นานา ตนก็เลยบอกว่า อยากจะทำห่อหมกกับแม่สักเดือนละสองสามหนไหม เดี๋ยวช่วยรีวิวให้ จะได้มีรายได้ ตอนนั้นตนยังไม่โดนไล่ออกงาน ก็เลยลุกขึ้นมาทำกันตั้งแต่นั้นเรื่อยมา แล้วก็รีวิวให้เขา เขาก็ขายได้ ขายดี แต่มาขายดีเอามาก ๆ คิวจองไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า แล้วมีก็ทัวร์ไปลงห่อหมกคุณแม่นี่แหละ
พี่ม้าเป็นนักสู้คนหนึ่ง จากที่รู้จักกันมา 30 ปี พี่ม้าต่อสู้ทำงานด้วยความแกร่ง และสั่งสอนรุ่นน้องมาตลอด ทำไมครั้งนี้เลือกไม่ตอบโต้อะไรเลย

อยากให้ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่คิดถึง
อยากขอบพระคุณมาก ๆ ได้กำลังใจเยอะมาก จากแฟน ๆ ทั้งหลาย แม้กระทั่งคนที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ พระคุณเจ้า แม่ชี ที่พบเจอะเจอ ก็ให้กำลังใจสุด ๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่ไม่ร้องไห้นะ ตนร้องไห้เสมอเมื่อเกิดความปีติจากคนที่ให้กำลังใจ ล่าสุดเจอแม่ชีนั่งอยู่ในร้าน แล้วมาให้กำลังใจ ดิฉันน้ำตาพรั่งพรูหยุดไม่ได้ ก็ต้องขอบพระคุณมาก ๆ
ในไอจีและเฟซบุ๊กก็มีคนให้กำลังใจมาก บอกว่าอยากให้กลับมา แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ตนกลับมาได้หรือไม่ได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวดิฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าตนเอง หรือคนทำงานในวงการพิธีกร มันคืออาชีพที่ต้องรอให้เขาเรียก ถ้าเขาไม่เรียกก็คงกลับไปไม่ได้ ตนมีคุณค่าพอที่จะให้เขาเรียกกลับไปไหม แค่นั้นเอง แต่ถ้าเขาเรียกเราก็คงได้กลับไป และต้องพร้อม
บางทีเราก็เคยว่า แต่เราเป็นผู้ใหญ่ว่าเด็ก ในภาพการเป็นเดอะสตาร์ที่ตนคอมเมนต์สุดฤทธิ์สุดเดชว่าอะไรคือสิ่งไม่ดี แต่ก็แนะนำว่าสิ่งที่ดีต้องเป็นอย่างไร ตามประสบการณ์ชีวิตเราที่ผ่านมาก่อน อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บังคับกันไม่ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าเราจะว่าหรือพูด หรือทำอะไรก็แล้วแต่ มันน่าจะมีขอบเขตด้วยเหมือนกัน
ทุกคนควรจะมีคุณธรรมและจริยธรรม เพราะบางครั้งคนหลงลืมตรงนี้ไป สนุกกับมันมาก ไม่ใส่ใจว่าเราจะทำร้ายจิตใจคนอื่นมากน้อยแค่ไหน ทุกคนคิดว่าเราชอบด่าคนโน้นคนนี้ แต่ว่าในขณะที่ด่า มันก็เป็นการสอน แต่เป็นลักษณะการสอนแบบตรงไปตรงมา ไม่งั้นก็คงไม่เข้าใจสักที พูดอ้อม ๆ ไม่เข้าใจ ก็เลยพูดตรง ๆ ไปเลย ก็เลยดูเหมือนคนร้าย แต่ว่าเป็นแค่ความหวังดีของผู้ใหญ่เท่านั้นเอง
by TVPOOL ONLINE