เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

“หมิว สิริลภัส”ลั่น !ให้สังคมตัดสินใครโกหก!

จากกรณีน.ส.สิริลภัส หรือหมิว กองตระการ ดารานักแสดง เข้าไปในห้องน้ำในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งริมถนนรัชดาภิเษก แล้วพบถูกชายคล้ายตำรวจแอบถ่ายในห้องน้ำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หลังจากน.ส.สิริลภัส หรือหมิว เดินทางเข้าพบพ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.พหลโยธิน เพื่อสอบปากคำ หลังถูกส.ต.ท.ศวัสกร หนูรี ผบ.หมู่จราจร สน.ทุ่งมหาเมฆ ตามเข้าห้องน้ำจนเป็นประเด็นในสังคม โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง คู่กรณีทั้งสองคนได้เดินออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่บริเวณด้านหน้า สน.พหลโยธิน

ส.ต.ท.ศวัสกร เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในวันดังกล่าวสืบเนื่องจากตนทำงานหนัก โดยเข้าเวรงานจราจรตั้งแต่เช้ามืด และเลิกงานในเวลา 23.00 น. ขณะนั้นกำลังจะไปรับเพื่อนในย่านพหลโยธิน จึงได้จอดพักอยู่ที่สโมสรตำรวจ ก่อนจะขับรถมาตาม ถ.รัชดาภิเษก กระทั่งเกิดปวดท้องกะทันหันจึงแวะเข้าปั๊มน้ำมันดังกล่าว ก่อนจะลงไปทำธุระ แต่ด้วยความที่พักผ่อนน้อยจึงมีอาการเบลอ เข้าห้องน้ำผิด จนกระทั่งเจอ น.ส.สิริลภัส ร้องโวยวายจึงรีบวิ่งหนีออกมาขึ้นรถขับออกไป ยอมรับว่าขณะนั้นตกใจมากจึงไม่ได้อยู่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ น.ส.สิริลภัสทราบ ยืนยันว่าไม่ได้ติดตามมาจากที่ใด และไม่มีการใช้โทรศัพท์แอบถ่ายแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้หากผลการสอบสวนออกมาว่ามีความผิดจริงก็ยอมรับผิดทั้งทางอาญาและทางวินัย โดยอยากจะขอโทษ น.ส.สิริลภัสอีกครั้ง ยืนยันไม่มีเจตนาจะทำให้ตกใจ สาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อยเท่านั้น

ด้านน.ส.สิริลภัส เปิดเผยว่า หลังจากการพูดคุยกับส.ต.ท.ศวัสกร ระบุว่าวันดังกล่าวเกิดจากการพักผ่อนน้อย จึงทำให้เข้าห้องน้ำผิด แต่ยังคาใจที่ ทำไมคนปวดท้องถึงไม่รีบเข้าห้องน้ำทำธุระ ซึ่งเมื่อตนเข้าห้องน้ำแล้วก็ยืนคอยอยู่ระยะหนึ่ง กว่าที่ส.ต.ท.คนดังกล่าวจะเข้ามา อีกทั้งยังไม่มีการล็อกประตูห้องน้ำ หรือเสียงทำธุระ

ในส่วนนี้ทางตำรวจคู่กรณีให้เหตุผลว่าเกิดจากความเบลอจากการพักผ่อนน้อย ซึ่งยอมรับว่าอาจเป็นไปได้ที่ส.ต.ท.จะพักผ่อนน้อย เนื่องจากทำงานหนัก แต่ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด ต้องรอผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากตำรวจอีกครั้ง เพื่อคลายข้อสงสัยนักแสดงสาวกล่าวด้วยว่า โดยกล้องวงจรปิดที่อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบอยู่ในจุดหน้าร้านกาแฟในปั๊ม ซึ่งขณะนั้นได้ลงไปซื้อกาแฟในร้านดังกล่าวก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งขณะนั้นมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ฝั่งขวาข้างรถตน ไม่ทราบว่าเป็นรถของ ส.ต.ท.คนดังกล่าวหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่ามีเจตนาขับรถตามไปจอดที่หน้าห้องน้ำ แต่ถ้าไม่ใช่ แสดงว่าตำรวจคนนี้ไม่มีเจตนาติดตาม

.

ล่าสุดหมิวได้เดินทางไปที่ สน. พหลโยธินอีกครั้งเพื่อเข้าดูหลักฐานจากกล้องวงจรปิดว่าสรุปแล้วคือยังไง จากนั้นเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์ว่ารถเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจอดคนละเวลากัน แต่เจ้าตัวก็ยังสงสัยว่าทำไมเข้าห้องน้ำนานเกือบ 2 นาทีแต่ก็ยังไม่ธุระซะที ทั้งๆ ที่บอกว่าปวดท้อง วอนให้สังคมใช้วิจารณญาณและตัดสินกันเองว่าใครถูก หรือว่าใครผิดตามที่ได้ชี้แจงไปเมื่อวาน

“วันนี้ได้เดินทางมาดูกล้องวงจรปิดว่ารถข้างๆ เป็นรถตำรวจหรือเปล่า มาดูกล้องแล้วรถที่จอดคันข้างๆ ไม่ใช่ระยะเวลาที่หมิวจอดตรงร้านกาแฟและระยะเวลาที่เขามาจอดหน้าห้องน้ำ คือคนละเวลากัน จอดคนละที่กัน

อันนี้ก็หายสงสัยว่าเขาไม่ได้ตามจากทางไหน และการเอาผิดก็ได้ปรึกษาทางผู้กำกับแล้ว ทั้งเรื่องการทำอนาจารหรือการทำให้ตกใจ ทางนั้นไม่ได้มีพฤติการไม่ได้ทำให้เป็นคดีในการฟ้องได้ในคดีอาญา ไม่ได้มีพฤติการณ์ยกมือถือขึ้นมาถ่าย หรือว่าชะโงกหน้าขึ้นมาดูห้องน้ำของเรา หรือตั้งใจที่จะใช้คำพูดที่ทำให้เราตกใจ เพราะฉะนั้นไม่สามารถเอาผิดในโทษอนาจารได้ แต่ทางวินัยอาจจะมีการเอาผิดจากหัวหน้าผู้บังคับบัญชา
ก็เคลียร์ข้อสงสัยไหมหมิวก็เคลียร์ในส่วนของหมิว แต่เมื่อวานเราได้เล่าในข้อเท็จจริงของเราไปแล้ว หมิวก็ได้เปิดโอกาสให้เขาได้เล่าเรื่องราวในมุมของเขาไปแล้ว เหลือเพียงให้คนในสังคมเป็นคนตัดสินว่าสุดท้ายเรื่องราวจะเป็นยังไง คนที่รู้ความจริงมากที่สุดคือเขาเอง หมิวไม่สามารถว่าเขาทำจริงไหม

หมิวเพิ่งมาดูกล้องวงจรปิด เขาบอกว่าใช้ระยะเวลาแป๊บเดียว แต่การที่เขาลงจากรถไปห้องน้ำ คือเขาลงจากรถไป 23.44 น. ตอนที่หมิวไล่เขาออกมาจากห้องน้ำเวลา 23.46 น. เกือบ 2 นาที เขาบอกรีบ ให้ทุกคนชั่งน้ำหนักกันเอาเอง หมิวว่าเป็นเวลาค่อนข้างนาน ที่คนๆ นึงเข้าไปแชตและไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ปวดท้องหนักอยู่ ถือว่าหมิวให้ข้อเท็จจริงอีกข้อนึง

สุดท้ายแล้วหมิวไม่สามารถมีคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ และสุดท้ายแล้วคนที่มีคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ คือคนที่กระทำเรื่องนี้ขึ้นมา คือตำรวจคนนั้น ซึ่งหมิวได้บอกเขาไปแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจกระทำความผิด หมิวให้อภัยเขาด้วยความบริสุทธ์ใจ แต่ถ้าเขาจงใจจะกระทำการแบบนั้น และตั้งใจมาโกหกหมิว ให้รู้ไว้เลยว่านี่จะเป็นตราบาปติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

หมิวว่าเขาคงไม่กล้าออกมาสู้หน้าสังคม ถ้าเขากล้าที่จะทำผิด และกล้าที่จะโกหกต่อหน้าสื่อที่เยอะขนาดนั้น ทุกๆ อาชีพมีศักดิ์ศรีของมันอยู่ และอาชีพนี้มีทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีเยอะมากถ้ามองในมุมของหมิว หมิวไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับเขาได้ เพราะว่าด้วยหลักฐานมันถึงทางตันแล้ว หมิวอยากให้สังคมตัดสินต่อไปแล้วกัน หมิวไม่อยากปักธงว่าอย่าไปตัดสินใครทั้งสิน แต่หมิวก็อยากให้สังคมเอาหลักฐานที่เผยแพร่ออกไป แล้วลองชั่งน้ำหนักดู แต่ละคนน่าจะมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ ว่าเชื่อทางไหน และวันนี้ได้ลงบันทึกประจำวันแล้วว่าได้ดูกล้องวงจรปิด ไม่ได้มีข้อสงสัยใดๆ และก็ด้วยหลักฐานไม่สามารถเอาผิดทางอาญาได้”