เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ในตอนนี้ ข่าวหนึ่งที่หลายคนคงจะติดตามไม่แพ้กัน คงเป็นเรื่องของ ลุงพล หรือ นายไชย์พล วิภา ผู้ต้องหาในคดีน้องชมพู่ ที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาลุงพล 3 ข้อหา และลุงพลก็ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนที่จะประกันตัวออกมาได้ล่าสุด

    ล่าสุด สรยุทธ สุทัศนะจิดา ได้ออกมาไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เกี่ยวกับคดีนี้ โดยสรยุทธย้ำว่า เป็นการติดตามข่าวนี้ในฐานะคดีอาชญากรรมคดีหนึ่งที่สลับซับซ้อนเท่านั้น ไม่ใช่การพยายามขยายความเป็นเซเลบของลุงพลแต่อย่างใด

จับโป๊ะลุงพล พบในปากน้องชมพู่มีร่องรอย คล้ายโดนอุดปาก คาดผู้ต้องหาคิดว่าน้องตาย ทั้งที่จริงยังไม่ตาย

ทั้งนี้ คุณออย นักข่าวของช่อง 3 ที่ลงพื้นที่ตั้งแต่มีข่าว ได้ออกมาเปิดเผยกับสรยุทธคถึงคดีนี้ว่า หลักฐานหนึ่งที่สำคัญในคดีนี้คือ ตำรวจพบว่าในปากของน้องชมพู่มีรอยช้ำ เหมือนมีใครอุดปากเอาไว้ ตอนที่น้องหายตัวไปนั้น คาดว่าน้องอาจจะโดนเอามือปิดปากจนหมดสติ แต่น้องไม่ได้เสียชีวิตในทันที ผู้ต้องหาเลยอาจจะตกใจ เลยมีการเอาน้องไปไว้ในกอไผ่ก่อน แล้วลุงพลไปส่งพระ แต่เรื่องนี้ไม่มีใครเห็น เป็นการคาดการณ์เท่านั้น

ตอนนั้นผู้ต้องหาอาจจะเข้าใจว่า น้องชมพู่เสียชีวิตไปแล้ว แต่จริง ๆ แล้วน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต แต่กำลังร่อแร่ ไม่มีแรง เพราะก่อนหน้านี้น้องกินข้าวไข่เจียวไป 1 คำ และกินน้ำไปนิดหน่อย จากนั้น ผู้ต้องหาก็อุ้มน้องไปที่ภูเหล็กไฟเพื่ออำพรางศพ ด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า เอาไปวางกระจาย ๆ กัน

เรื่องนี้มีพิรุธคือ  น้องชมพู่ยังถอดเสื้อผ้าเองไม่ได้ และหากพยายามถอดเองก็ต้องพันกัน แต่เสื้อผ้าถูกถอดออกมาอย่างเรียบร้อย และรองเท้าก็วางเอาไว้เรียบร้อย ก้าวหนึ่งอยู่ข้างหน้า ก้าวหนึ่งอยู่ข่างหลัง

ตอนตามหาน้องชมพู่ ไม่มีใครเห็นลุงพล เห็นอีกทีคือออกมาจากภูเหล็กไฟ

หลังจากที่ลุงพลบอกว่า ตนไปรับส่งพระแล้ว ลุงพลก็กลับมาที่บ้าน ในตอนนั้นมีข่าวว่าน้องชมพู่หายตัวไป จึงมีการตามหาในหมู่บ้าน แต่ยังไม่มีการขึ้นไปหาที่ภูเหล็กไฟ เพราะน้องตัวเล็ก คิดว่าไม่น่าเดินขึ้นไปได้บนนั้น การตามหาแบ่งเป็นฝ่ายหญิงและชาย แต่ในกลุ่มผู้ชายที่ตามหา ไม่มีใครเห็นลุงพล และมาเห็นลุงพลอีกทีคือบริเวณทางลงภูเหล็กไฟ (คนที่เห็นคือเจ๊บุญมา) ในท่าทางเหม่อลอย ไม่ทักทายใคร เหมือนคนไม่มีสติ และเกิดคำถามว่าทำไมลุงพลถึงขึ้นไปบนภูจากนั้นชาวบ้านก็หาจนมืด และประสานตามหมู่บ้านอื่น ๆ ก็ไม่เจอ

เจอศพน้องชมพู่ ลุงพลร้องไห้ใจจะขาด พร้อมพิรุธโทษคนนั้นคนนี้-ออกตัวเลยว่าน้องตายเพราะขาดอาหาร

จนกระทั่งยายตุน ซึ่งเป็นคนหาของป่า แต่ไม่ใช่คนบ้านกกกอก ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟเพื่อหาของป่ามาขาย ยายตุนเห็นรองเท้ากระจายไว้ และตะโกนถามว่ารองเท้านี้ของใคร เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบรับ ก็เลยเอารองเท้าไปวางไว้บนโขดหินให้เป็นคู่ และลงจากภูไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านตามสั่ง ยายตุนเล่าให้คนในร้านว่าเจอรองเท้าบนภู คนในร้านก็บอกว่าหมู่บ้านข้าง ๆ มีเด็กหายไป จึงพายายตุนมาพูดคุย และระดมกันขึ้นไปบนภูเหล็กไฟตอนกลางคืน พอใกล้จุดพบศพ ก็มีคนหนึ่งไปเจอกับรองเท้า และเป็นภาพของลุงพลที่เดินเลยไปเจอศพน้องชมพู่คนแรกในสภาพเปลือยกาย แล้วลุงพลก็ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก ซึ่งมีเรื่องที่น่าสงสัยคือ การที่ลุงพลบอกว่า  มีคนทำให้น้องอดอาหารตาย และพยายามป้ายความผิดไปที่ชายคนหนึ่งที่ติดยาเสพติด และหายจากหมู่บ้านไป ให้ทุกคนล้อมเขาเอาไว้

นั่นกลายเป็นคำถามว่า ทำไมลุงพลถึงรู้ว่าน้องอดอาหารตาย ทั้งที่สภาพศพน้องเปลือย คำถามแรกที่ขึ้นมาในใจควรเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ไม่ใช่มองว่าน้องโดนทำให้อดอาหาร รวมไปถึงการบอกให้ล้อมเขาเอาไว้ เหมือนหวาดกลัวแตกตื่นว่าชายที่ลุงพลโบ้ยว่ามีความผิดจะหนีไปได้

ในเวลาต่อมา ทางนักข่าวก็ถามว่า ทำไมลุงพลถึงคิดว่า น้องตายเพราะอดอาหาร ไม่ใช่เพราะถูกล่วงละเมิด ลุงพลก็บอกว่า คนบ้านกกกอกไม่มีใครทำแบบนั้นกับเด็ก และน้องหายไปแบบนี้ น่าจะอดน้ำอดอาหารมาก

พิรุธลุงพลอีก เรื่องเส้นผมน้องชมพู่-ไทม์ไลน์ 38 นาทีที่หายไป-ดีเอ็นเอบนตัวน้อง

นอกจากนี้ ยังมีพิรุธใหญ่เรื่องหนึ่งคือ เรื่องผมข้องน้องชมพู่ที่ถูกสับ และตกในรถของลุงพล 36 เส้น โดยเป็นลักษณะของเส้นผมแหว่งไป ลักษณะไม่ใช่การเอากรรไกรตัด แต่เป็นการสับผมกับดิน ซึ่งต่อมาเมื่อผ่านกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่า เส้นผมนี้เป็นเส้นผมของน้องชมพู่

นอกจากนี้ จากการตรวจพิสูจน์ศพในตอนแรก ที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ทางแพทย์ลงความเห็นว่าไม่มีร่องรอยการถูกล่วงละเมิด แต่พอไปตรวจที่ รพ.ตำรวจ พบว่ามีร่องรอยการถูกล่วงละเมิด ซึ่งจริง ๆ แล้ว การที่อวัยวะเพศมีร่องรอยนั้น เพราะเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในการตรวจหา และพอลุงพลไปออกรายการโหนกระแส และทราบผลการชันสูตรว่าน้องโดนล่วงละเมิดทางเพศ ลุงพลก็ร้องไห้หนักมาก

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องไทม์ไลน์ของลุงพลที่หายไป 38 นาที ที่ลุงพลตอบไม่ได้ว่าหายไปไหน ถ้าโดนถามย้ำ ๆ ก็จะให้คำตอบที่ไม่ชัดเจน บางทีก็บอกว่าทำอย่างหนึ่ง อีกอย่างก็ทำอย่างหนึ่ง ซึ่งลุงพลก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดความจริงที่เหมือนกันทุกครั้ง บางอย่างก็จำได้ บางอย่างก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ด้านนักข่าวเองก็เคยถามลุงพลว่า จะเป็นอย่างไรถ้าสมมุติว่าหมายจับมาออกที่ลุงพล และมีร่องรอยดีเอ็นเอของลุงพลในนั้น ลุงพลบอกว่า วันนั้นเขาทั้งร้องไห้ ทั้งเหงื่อออก อาจเป็นไปได้ที่จะมีดีเอ็นเอของตนตกลงบนตัวน้อง แต่เมื่อไปถามผู้เชี่ยวชาญว่าในเหงื่อมีดีเอ็นเอหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ไม่มี หากเป็นขี้ไคล หนังกำพร้า ถึงจะมี ในขณะที่เมื่อนักข่าวไปถามผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ ว่า จะเป็นอย่างไรถ้าโดนหมายจับ ผู้ต้องสงสัยคนอื่นยืนยันว่า ตนไม่มีทางที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยแน่นอน เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้ามีหมายจับมา ต้องเป็นการจับแพะชัวร์

สถานการณ์บ้านกกกอกตอนนี้ ไม่เหมือนเดิม ญาติเข้าข้างลุงพล เหลือเพียงแค่แม่น้องชมพู่คนเดียว

คุณออย นักข่าว ยังเผยอีกว่า ตอนนี้บ้านกกกอก ก็แตกกันไปเลย ทั้งแม่น้องชมพู่ ป้าแต๋น น้าต่าย สิ่งที่เคยเป็นบ้านกกกอก ก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป กระแสข่าวนี้ ทำให้บางบ้านไม่มองหน้ากัน เอาสังกะสีมากั้น จากที่แต่ก่อนกินข้าวร่วมกันปกติ

บ้านแม่น้องชมพู่ จะอยู่กับน้าแต น้าต่าย ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้ แม่น้องชมพู่ต้องอยู่คนเดียว และมีความไม่เข้าใจกันระหว่างพี่น้อง นักข่าวเคยมีการถามกับตาชาญ คุณตา ว่าทำไมถึงมีการเลือกข้างลูก 2 ฝ่าย และตาชาญบอกว่า ต่างคนต่างทำมาหากิน ต้องรอเวลาให้กลับมาคุยกันเอง

สรยุทธร่วมไขคดีลุงพล

สรยุทธ ย้ำจุดยืน นำเสนอข่าวลุงพลในฐานะคดีอาชญากรรม ไม่ใช่เซเลบ

ทั้งนี้ สรยุทธบอกว่า ตอนนี้ถือว่าลุงพลยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่เมืองไทยก็ไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ที่ผู้ต้องหามีแฟนคลับ มีเซเลบมาก่อน การนำเสนอข่าวเรื่องนี้ของช่อง 3 นั้น อาจจะน้อยกว่าปกติ ทั้งที่นักข่าวต้องไปทำข่าวมาเยอะ ซึ่งนักข่าวก็ไม่ได้น้อยใจอะไร แม้จะติดตามข่าวมาตั้งนาน

การนำเสนอข่าวลุงพลนั้น ต้องบอกว่า เราไม่ได้นำเสนอลุงพลในฐานะเซเลบคดีฆาตกรรม การที่เสนอข่าวว่า ลุงพลไปกินข้าว โหงวเฮ้งเป็นอย่างไร ไปห้างแล้วห้างแตก ขายอาหารเสริม แต่เรากำลังเสนอคดีอาชญากรรมของเด็กคนหนึ่ง ตนมองเรื่องนี้เป็นคดีอาชญากรรมคดีหนึ่ง

           ประเทศนี้ไม่ใช่ต้องนำเสนอแต่เรื่องวัคซีน หรืองบประมาณ แต่เราต้องจัดสัดส่วนของรายการ หากรายการไหนอยากจัดรายการแล้วให้น้ำหนักข่าวที่ลุงพล ก็ว่าไป เราก็ไปว่าเขาไม่ได้ แต่รายการของตนจะให้น้ำหนักไปที่เรื่องของวัคซีน เรื่องของคนในสังคม แต่หากวันไหนมีการจับกุม ก็อาจจะให้น้ำหนักข่าวลุงพลมากขึ้นไปหน่อย ซึ่งมันไม่มีอะไรที่มันขาวหรือดำ 100%