วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2559 เวลา10.00น. ณ โรงแรมดิเอมเมอรัล รัชดา มีการประชุมเรื่อง การมอบโบนัสให้กับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมจนได้ผ่านเข้าไปเล่นใน ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ12 ทีมสุดท้าย และคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ
สำหรับเงินรางวัลที่ทัพ “ช้างศึก” ได้รับทั้งหมดมีจำนวนรวม 36,750,000 บาท แบ่งเป็น จากการ ผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย จำนวน 30 ล้านบาท และแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 จำนวน 6,750,000 บาท
ภายหลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.ท.พิสัณห์ กล่าวว่า เงินดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ นักฟุตบอล 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ 25,724,994 บาท นำมาแบ่งเป็น 8 นัด (คัดฟุตบอลโลก 6 นัด และ คิงส์ คัพ 2 นัด) ได้นัดละ 3,215,624 จากนั้นนำมาแบ่งตามจำนวนรายชื่อนักเตะในแต่ละนัดว่าเกมดังกล่าวมีใครติดธงบ้าง ซึ่งเมื่อเฉลี่ยแล้วจะได้ตกคนละประมาณ 1,118,478 บาท โดยสมาคมฯ จะเป็นผู้จ่ายเช็คให้เอง
ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ หรือ 11,250,000 บาท เป็นของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีมชาติไทย และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช (ประมาณ 9 – 13 คน) โดยจะมอบหมายให้ “ซิโก้” นำไปแบ่งสรรกันเอง ทั้งนี้ “ซิโก้” จะได้รับไม่น้อยกว่าที่นักฟุตบอลได้รับต่อคน
พล.ต.ท.พิสัณห์ กล่าวต่อว่า การแบ่งสรรเงินจำนวน 36,750,000 บาท จะใช้กฎเกณฑ์เดิมที่ทีมงานของ “ซิโก้” ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ซึ่งถือว่าได้ตกลงร่วมกันกับนักฟุตบอลเอาไว้แล้ว จึงไม่เหมาะสมที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติว่าในการแบ่งสรรเงินอัดฉีดครั้งต่อ ๆ ไปและทุกชุด จะเปลี่ยนกฎเกณฑ์มาใช้เป็น นักฟุตบอล 80 เปอร์เซ็นต์ และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่า “ซิโก้” และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช มีรายได้จากสมาคมฯ ทุกเดือนอยู่แล้ว อีกทั้งจำนวนคนที่แบ่งสรรก็น้อยกว่านักฟุตบอล
ทั้งนี้ หลังจากที่มีการแบ่งสรรเงินเรียบร้อยแล้ว สมาคมฯ จะทำการหักภาษีคนละ 5 เปอร์เซ็นต์ ตามเกณฑ์ของสรรพากร โดยจะมีการออกใบกำกับภาษีให้นักเตะและทีมงานทุกคน
by TVPOOL ONLINE