เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เปิดใจครั้งแรกลูกสาวและลูกเขยของน้าค่อม ชวนชื่น เผยความรู้สึกวินาทีที่สูญเสียคุณพ่อด้วย โควิด-19 และขอเคลียร์ประเด็นดราม่าทุกประเด็น พร้อมซัดข้อกล่าวหาเกาะพ่อค่อมกิน ในรายการ “คุยแซ่บSHOW” ที่มี “พีเค” ปิยะวัฒน์ และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

น้าค่อมจากไปเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง
ไอซ์ : คุณแม่ยังมีทุกข์อยู่ แต่เราเห็นว่าคุณแม่พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง ส่วนไอซ์เองก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะแม่ต้องพึ่งเรา ถ้าเราอ่อนแอ แม่ก็จะอ่อนแอตามเราไปด้วย
แบงค์ : ทั้งไอซ์และแม่เอ๋ เป็นผู้หญิงที่ผมรู้สึกว่าเขาเข้มแข็งมาก อาจจะเป็นเพราะรอบๆ ตัวเขามีลูกหลานอยู่ด้วย และตัวเขาก็เป็นคนเข้มแข็งด้วยคือทุกวันนี้ดูเหมือนปกติ เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นร้ายแรง แต่ถ้าพูดถึง ไอซ์ก็จะมีเสียงเครือ คือก็มีบางจังหวะ บางทีที่เรายังนึกถึง ในทีวีในโซเชียลต่างๆ ที่เรายังเห็นเรื่องราวของเขาก็ทำให้เราคิดถึงในทุกๆ วัน แม้มันจะผ่านไปเป็นปี ผมก็คิดว่าทุกคนก็ยังคิดถึงอยู่

แบงค์ : ผมว่า 2 คนนี้เข้มแข็งอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราต้องไปดูแลอะไรเขา เพราะตัวเขาเองก็ดูแลตัวเองดีมากอยู่แล้ว ผมแค่รู้สึกว่าเราไม่ต้องมานั่งปลอบกันเยอะ แค่พูดครั้งเดียวเขาก็เข้มแข็ง ปกติเขาจะไม่ค่อยร้องไห้ให้ใครเห็น ขนาดผมที่เป็นสามีอยู่บ้านเดียวกัน ยังน้อยมากที่จะเห็นเขาร้องไห้คือผมเห็นเขาร้องไห้ครั้งเดียวคือวันเผาคุณพ่อ แค่ผมพูดว่า อย่าร้องไห้นะ อย่าทำให้พ่อเป็นห่วงนะ หลังจากนั้นเขาก็เข้มแข็งขึ้นมาก ผมไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ต่อหน้าผมอีกเลย
ไอซ์ : คือเรามีทั้งลูกทั้งน้อง บ้านเราจะสนิทกันเวลาเราจะต้องดูแลความรู้สึกเราก็ต้องดูแลทั้งหมด

 

 

 

ตอนนั้น 12 เม.ย. ติดเชื้อโควิดวันที่ 13 เม.ย. น้าค่อมเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นอย่างไร
ไอซ์ : คือไอซ์จะอยู่คนละบ้านกับคุณพ่อ วันนั้นก็จะมีคุณแม่ถ้าได้เห็นคลิปก็จะเป็นคุณแม่ถ่าย น้องถ่าย ก่อนที่คุณพ่อจะเข้าโรงพยาบาล วันที่ 13 เม.ย. ก็ส่งคุณพ่อกัน ซึ่งในถุงก็จะมีอาหารที่คุณพ่อชอบทาน เขาก็ยังดูปกติ คุยกันปกติสนุกสนานพอหลังเข้าโรงพยาบาลเราก็จะไม่ได้ติดต่อกัน เพราะปกติคุณพ่อจะไม่เล่นโซเชียล เขาไม่มีไลน์ ไม่มีช่องทางโซเชียลเลย แต่เราได้สอนให้เขาเล่นเฟซไทม์ ไอซ์ก็เลยได้เฟซไทม์หาเขาตอนที่เขาถึงโรงพยาบาลซึ่งเขาก็ยังคุยกับเราสบายดี ว่าได้ห้องแล้ว ห้องโอเคไม่ต้องห่วง ดูแม่ไป ดูน้องไป ตอนนั้นเราก็ห่วงเขามากเพราะเขามีโรคประจำตัว เราไม่คิดเลยว่าผลจะร้ายแรง เพราะเราจะคุยกันทั้งวัน ซึ่งคุณพ่อจะบอกว่า พ่อไม่เป็นอะไรแต่เราจะกังวลเรื่องปอดของเขา แต่คุณพ่อไอซ์เป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เราก็เลยคิดตื้นๆ ว่าปอดเขาไม่น่าจะเป็นปัญหา เราก็ยังหวังว่าเดี๋ยวพ่อก็หาย แต่มันเกิดเหตุการณ์ว่าปอดของคุณพ่อมีปัญหา เราก็ทำอะไรไม่ถูก

วันสุดท้ายที่ไอซ์ได้เจอน้าค่อมคือวันไหน
ไอซ์ : ไอซ์เจอคุณพ่อวันที่เราไปตรวจโควิดกัน วันที่ 11 เม.ย. 12 เม.ย. ผลออก 13 เม.ย. รถโรงพยาบาลมารับ คือวันที่ 11 เรายังมีถ่ายคลิปร่วมกันอยู่เลยว่าเราไปตรวจโควิดกัน แล้วหลังจากนั้นเราก็ยังเฟซไทม์คุยกับเขา เราได้คุย เราได้อยู่อาการคุณพ่อปกติเลย ดูไม่มีอาการอะไรเลย คือคุณพ่อจะเป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ และเป็นความดัน ซึ่งคุณหมอก็เป็นคุณหมอที่ดูแลเขา
เขาก็เลยรู้สึกโล่งใจที่อยู่ใกล้หมอที่ดูแลเขาตลอด ส่วนที่ต้องย้ายโรงพยาบาล เพราะที่โรงพยาบาลแรกคุณพ่อเกิดอาการฝ้าที่ปอดหนา
แบงค์ : ตรงนี้เป็นเรื่องของเครื่องมือ เพราะแต่ละโรงพยาบาลมีเครื่องมือไม่เหมือนกัน อย่างโรงพยาบาลที่เราไปหาอาจจะเป็นโรงพยาบาลขั้นปฐมภูมิ คือเป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือรักษาระดับประมาณหนึ่งพอเป็นทุติยภูมิก็จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งมันจะส่งต่อโรงพยาบาลกันไป คือตอนแรกที่ย้ายโรงพยาบาลเราก็ยังงงกันอยู่ เพราะคุณพ่อดูปกติมากๆ ไม่มีอาการใดๆ แต่พอเข้าโรงพยาบาล 2 ต้องเข้าไอซียูเลย

 

ตอนย้ายโรงพยาบาลเรามีความหวังแค่ไหน
ไอซ์ : คือไอซ์หวังมาตลอด หวังให้อาการที่ไม่ดีกลับมาดีเหมือนเดิม หวังตลอด หวังทุกวัน ถ้าเราไม่หวังก็เหมือนเรายอมแพ้
แบงค์ : ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยยอมแพ้เลยแม้แต่วันเดียว เราไม่เคยนั่งเฉยๆ ไม่เคยนั่งรอให้อาการมันดีขึ้น เราพยายามคุยกับคุณหมอตลอด พยายามหาข้อมูล

ที่โรงพยาบาลที่สามมีคำหนึ่งที่คุณหมอพูดแล้วทำเอาลูกๆ เข่าทรุดเลย
ไอซ์ : คือคุณหมอพูดว่าจะปั๊มหรือไม่ปั๊ม
แบงค์ : คือพอย้ายไปโรงพยาบาลที่สามอวัยวะต่างๆ ก็ค่อนข้างแย่ ล้มเหลวไปหลายอวัยวะไม่ว่าจะเป็นปอด ไต ตับ ซึ่งคุณหมอบอกว่า ณ ตอนนั้นเหลือแค่หัวใจอย่างเดียวซึ่งเราก็ทำใจระดับหนึ่งว่าคุณหมอต้องถามคำถามนี้ จนวันหนึ่งคุณหมอก็ถามเราว่าถ้าถึงจุดที่หัวใจมันไม่ไหวแล้วเราจะปั๊มหรือไม่ปั๊มหัวใจขึ้นมาไหม
ไอซ์ : คือเราก็ 50/50 คือใจอยากให้ปั๊มมาก แต่ว่าคิดกลับกัน เราปั๊มเขาฟื้น เราสบายใจ แต่เขาไม่เหมือนเดิม คนที่ทุกข์ทรมานก็คือเขา อาจจะต้องนอนติดเตียงซึ่งทรมานหนักกว่าเดิมสำหรับเขา กับการที่เราไม่ปั๊ม มันบอกไม่ถูกเลย มันตื้อไปหมด แล้วเราก็ปรึกษากับทางบ้านซึ่งทุกคนก็บอกว่าไม่ปั๊มดีกว่า
แบงค์ : คือมีคำตอบหนึ่งที่คุณหมอบอกกับเราว่า คุณหมอไม่การันตีเลยว่า ปั๊มแล้ว คุณพ่อจะฟื้นขึ้นมาอีก ไม่ใช่ปั๊มแล้วหัวใจจะกลับมา

ตอนนั้นใครเป็นคนบอกแม่
แบงค์ : เราก็โทรคุยกันว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งคุณแม่ก็ค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของพวกเรา เพราะมันไม่ใช่แค่ผมและไอซ์ แต่ยังมีน้องชายอีก 2 คน ที่จะคุยกันเองว่าเหตุการณ์เป็นประมาณไหน
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจที่สุดในชีวิต เพราะเหตุการณ์มันไปในทิศทางที่แย่ลง แต่ที่น่าสงสารยิ่งกว่านั้นคือ แม่เอ๋อยู่โรงพยาบาล ไม่สามารถไปดูพ่อ หรือมาหาลูกได้ ไม่สามารถมากอดกันเพื่อให้เรื่องเหล่านี้ผ่านพ้นไปด้วยดี คือมันทำตัวไม่ถูกจริงๆ เราไม่รู้ว่าจะต้องปลอบเขาอย่างไร เพื่อให้ทุกอย่างมันผ่านไป
ไอซ์ : ตอนนั้นถามว่าหวงแม่ขนาดไหน เราห่วงมาก ไม่เคยนอนหลับเลย

 

 

นาทีที่คุณพ่อบอกว่าน้าค่อมได้จากไปตอนนั้นกี่โมง
ไอซ์ : คือก่อนคุณพ่อจะเสีย โรงพยาบาลจะโทรมาเป็นสเตป โทรมาเที่ยงคืน ตีสอง
แบงค์ : ประมาณเที่ยงคืนก็จะมีคุณหมอที่ดูแลคุณพ่อมาอัปเดตว่าจากเราคุยกัน ว่าจะไม่ปั๊มหัวใจ ดังนั้นอาการหัวใจตอนนี้จากร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เหลือแค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ก็ค่อนข้างแย่แล้วคุณหมอบอกว่าถ้าผ่านไปได้ก็ผ่านไป แต่ถ้าผ่านไม่ได้ก็อาการก็น่าจะหนักขึ้น สุดท้ายพวกเราก็พยายามจะนอน แต่ก็ไม่ได้นอนกัน เพราะช่วงตี 4 ทางโรงพยาบาลก็โทรเข้ามาณ เวลานั้นมันไม่มีใครมาอัปเดตเรื่องดีๆ หรอก คุณหมอก็บอกว่าคนไข้ไปแล้วนะครับ ถามว่าผมบอกไอซ์อย่างไร ผมว่าไอซ์รู้อยู่แล้วเพราะเขาอยู่ข้างเรา

พอทราบข่าวคุณพ่อเสียวันรุ่งขึ้นต้องทำอะไรบ้าง
ไอซ์ : ไอซ์ทำอะไรไม่เป็นเลย แต่เราก็ต้องทำเพราะเหลืออยู่แค่ 2 คน เพราะน้องชายก็ต้องกักตัว คุณแม่ก็ติดโควิด เราก็จับมือกันแล้วก็ไปโรงพยาบาลซึ่งบุคลากรที่โรงพยาบาลรามาฯก็น่ารักมาก พาเราไปทำตามสเตปทุกขั้นตอน ก็ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งมันทรมานมาก

แล้วงานศพช่วงนั้นจัดอย่างไร
แบงค์ : เขาห้ามคนมาร่วมงานเกิน 20 คน เราก็ต้องเอาคนที่สะดวกจริงๆ และคนต้องไม่เกินแล้วก็ต้องจัดการเท่าที่จะทำได้ เพราะว่ามันไวมาก ผมแจ้งใครก็ไม่ทัน
ไอซ์ : ตอนที่เผาศพเราก็มีวิดีโอคอลให้คนในครอบครัวดู ให้น้าๆ ทำ เพื่อส่งคุณพ่อ

 

 

 

แล้วเรารู้ว่าคุณแม่ดีขึ้นเมื่อไหร่
ไอซ์ : หลังจากที่คุณพ่อเสียเราก็โฟกัสคุณแม่เต็มที่ เพราะเขาทุกข์มาก คือเขาอยู่ด้วยกันมานานมาก เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่อย่างไรเราก็ไม่กล้าโทรเท่าไรก็จะให้น้องๆ ผลัดกันโทรหาคุณแม่ ลูกสาวก็จะโทรหาคุณยาย คอยให้กำลังใจ เพราะตอนนี้เรามีกันอยู่แค่นี้ คือเราก็ต้องดูแลเต็มที่ ไม่ปล่อย
แบงค์ : เพราะคุณแม่เคยติดโควิดแล้วสามารถเป็นได้อีกไหม คือสามารถเป็นได้อีก คือมันไม่มีอะไรที่จะปลอดภัย ก็พยายามดูแลกันทุกคน อย่างทุกวันนี้ไปหาคุณแม่ที่บ้านตัวผมเองก็ต้องยังต้องใส่แมสตลอด เข้าไปในบ้านต้องใส่แมสตลอดเพราะเราไม่รู้ว่า เราจะพาโรคบ้านี่ไปหาท่านหรือเปล่า ซึ่งคุณแม่ก็รักษาตัวที่โรงพยาบาล 14 วัน ก็กลับมาบ้านได้

เจอดราม่าหนักๆ ให้กำลังใจกันอย่างไร
ไอซ์ : ถ้าเจอหนักๆ ไอซ์ก็จะวิ่งไปหาสามีเพราะว่าเขาจะสอนเราให้เราใจเย็นๆ ให้มองผ่าน เพราะแบงค์เขาจะเป็นคนที่ ไม่อยากให้เราปรี๊ดไม่มีสติ เขาก็จะพยายามสอนเราว่าค่อยๆ ใช้ความคิด ใจเย็นๆ ไม่อยากให้เราโผงผางเพราะมันจะไม่ดีกับตัวเรา
แบงค์ : อะไรไม่โอเคเราก็แค่ก้าวผ่านมันไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นอะไรที่ไม่ดีก็จะติดตัวเราไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุมีผล ทำแบบนี้นะถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามทางเราขอร่วมส่งกำลังใจให้ครอบครัวน้าค่อมผ่านเรื่องราวอันเลวร้านนี้ไปให้ได้เร็วที่สุดนะค่ะ