เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

รำลึก 14 ตุลา ครบรอบ 48 ปี วันมหาวิปโยค สงครามที่ประชาชนชนะ กับเบื้องหลังที่ยังไม่ลืม

14 ตุลา 64 เป็นวัน ครบรอบ 48 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 หรือ วันมหาวิปโยค เหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนกว่า 5 แสนคน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการมานานเกือบ 15 ปี

เพิ่มเติม

ทั้งนี้ เหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของไทย กับการ ชุมนุมเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร นำไปสู่คำสั่งของรัฐบาลให้ใช้กำลังทหารเข้าปราบปราม ระหว่างวันที่ 14 – 15 ตุลาคม พ.ศ.2516 จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก

สำหรับ สาเหตุ เกิดจากหลายเหตุการณ์ที่เดิดขึ้นก่อนหน้านี้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการทุจริตในรัฐบาล การพบซากสัตว์ป่าจากอุทยานในเฮลิคอปเตอร์ทหาร การถ่ายโอนอำนาจของจอมพลถนอม กิตติขจร ต่อจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทหารเข้าปกครองประเทศนานเกือบ 15 ปี

นอกจากนี้ยังมี การรัฐประหารตัวเอง พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการปกครองในระบอบเผด็จการทหาร และต้องการเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยขึ้น

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ศุกร์ 5 ตุลาคม 2516 นาย ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ 10 คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวงด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ดังนี้

  1. เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
  2. จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสําหรับประชาชน
  3. กระตุ้นประชาชนให้สํานึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ

วันอาทิตย์ 14 ตุลาคม 2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดํารัสผ่านทางวิทยุและโทรทัศน์ เมื่อเวลา 19.15 น. ความตอนหนึ่งว่า “วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค… เกิดการปะทะกัน และมีคนได้รับบาดเจ็บ ความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั้งพระนคร ถึงขั้นจลาจล… มีคนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิต”

นับแต่หลังเที่ยงคืนของวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนที่ชุมนุมประท้วงกันมาหลายวันหลายคืน ก็มารวมกันอยู่บริเวณหน้าสวนจิตรลดาอย่างแน่นขนัด เวลาประมาณตี 5 ขณะที่มีการเริ่มสลายตัวของฝูงชน ก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น

24.00 น. ของคืนวันที่ 14 จอมพลถนอม กิตติขจร ในตําแหน่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังคงออกแถลงการณ์ว่ามีผู้ที่ “พยายามนําลัทธิการปกครองอื่นที่เลวร้ายมาล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตย” และขอให้เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่จนสุดความสามารถ ซึ่งก็คือการปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนก็ยังคงดําเนินไป

อย่างไรก็ตาม ในวัน จันทร์ 15 ตุลาคม 2516นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนยังคงยืนหยัดชุมนุมกันหนาแน่นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คําประกาศเตือนและขู่ของรัฐบาลหาเป็นผลไม่ กลับมีคนออกจากบ้านมาร่วมชุมนุมไม่ขาดระยะ รัฐบาลมีประกาศหยุดราชการในวันนี้เป็นกรณีพิเศษ และมีประกาศปิดธนาคารทุกแห่ง

ขณะเดียวกัน นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนก็ยืนหยัดต่อสู้อย่างเด็ดเดียว มีการลุกฮือเป็นจุด ๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร และในบางท้องที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่กองบัญชาการตํารวจนครบาลผ่านฟ้า และสถานีตํารวจนางเลิ้ง นักเรียนและประชาชนพยายามต่อสู้บุกเข้ายึดและเผาตลอดคืนจนรุ่งเช้า

อนึ่ง แม้จอมพลถนอม กิตติขจร จะลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ และก็ยังปรากฏว่า การปราบปรามนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนยังดําเนินอยู่ต่อไป พร้อมกับมีแถลงการณ์ว่า มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ส่งพลพรรคมีอาวุธร้าย แรงสวมรอยเข้ามา ยิ่งทําให้เห็นว่าเป็นการสร้างความเท็จ สร้างความโกรธแค้นและเกลียดชังยิ่งขึ้น ทําให้นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนเกิดพลังในการต่อสู้ต่อไปแม้จะบาดเจ็บล้มตายเป็นจํานวนมากก็ตาม

จากการปราบปรามอย่างรุนแรงและไร้มนุษยธรรม ใช้ทั้งรถถัง เฮลิคอปเตอร์ อาวุธสงครามหนัก ทหารและตํารวจจํานวนร้อย ทําให้เกิดความขัดแย้งในวงการรัฐบาลอย่างหนัก มีทหารและตํารวจที่ไม่เห็นด้วย พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบก เองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรงนี้ ทางด้านทหารอากาศและ ทหารเรือก็เห็นด้วยกับทางฝ่ายของผู้บัญชาการทหารบก กลายเป็นแรงผลักดันให้จอมพลถนอม กิตติขจร ต้องลาออกจากตําแหน่ง และท้ายที่สุด คณาธิปไตยทั้งสาม ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็ต้องเดินทางออกจากประเทศไทยไป เหตุการณ์ทั้งหมดจึงสงบลงโดยพลันทันที่ที่มีการประกาศว่าบุคคล ทั้ง 3 ได้เดินทางออกนอกประเทศ แล้วเมื่อ 18.40 น.

สรุปเหตุการณ์เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2516 มีผู้เสียชีวิต 71 คน บาดเจ็บ 857 คน หนุ่มสาวและประชาชนออกจากบ้าน บางคนได้รับบาดเจ็บ บางคนพิการ บางคนโชคดีที่ไม่เป็นอะไร ซึ่งบางคนก็เสียชีวิต สูญหาย ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย แต่พวกเขาทุกคนคือวีรชนที่พาประเทศไทยเดินไปสู่่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางการเมือง