เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

สมจิตร จงจอหอ ควงภรรยา อุ๋ม ศศิธร และลูกๆ น้องกำปั้นและน้องจันทร์เจ้า มาเปิดใจครั้งแรกหลังภรรยาตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคพุ่มพวง ทำให้เดินไม่ได้ อาการหนักถึงขั้นสั่งเสีย พร้อมเผยที่แรกลูกชาย น้องกำปั้น เป็นเด็กสมาธิสั้นตั้งแต่อายุ 10 ขวบ สมองช้ากว่าอายุจริงถึง 5 ปี ผ่านทางรายการ คุยแซ่บ SHOW ทางช่อง วัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์, ชมพู่ ก่อนบ่าย และ อาจารย์เป็นหนึ่ง เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พี่สมจิตรเพิ่งรู้อาการป่วยของภรรยา?
สมจิตร : “ครับ ต้องให้เขาเล่า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดปกติของร่างกายเขาเองในช่วงที่เขาเป็น”
อุ๋ม : “เป็นโรคที่ภูมิตัวเองไปทำลายภูมิตัวเอง ครั้งแรกที่เกิดขึ้นคือมันมีก้อนตรงคอเรามันใหญ่ขึ้นมา เราก็ไปหาคุณหมอ คุณหมอกลัวจะเป็นมะเร็งเลยเจาะน้ำตรงก้อนคอไปตรวจหามะเร็งก็ไม่พบ คุณหมอก็หาใหม่อีก”

พอไม่พบว่าเป็นมะเร็งใจชื้นขึ้นมาหน่อยไหม?
อุ๋ม : “ก็ใจชื่นขึ้นมาเยอะเลย คุณหมอก็เจาะเลือดไปตรวจอีก แล้วมันไม่หายเราเป็นก้อนก็ปวดตามข้อ มีผื่นคันตามตัว ปวดข้อจนกระทั้งแขนขาไม่มีแรงเลย”

ตัวก้อนนั้นมีอาการเจ็บไหม?
อุ๋ม : “ไม่เจ็บเลย แต่ว่ามันโตขึ้นเรื่อยๆ แต่มาเจ็บตามแขน ตามขา เจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่มเราตลอดเวลา จนเราหยิบจับของไม่ได้ แขนเราไม่มีแรง เราก็ถามตัวเองว่าเราเป็นอะไร”

ตอนนั้นอยู่เคียงข้างเลยไหม?
สมจิตร : “อยู่ครับ อยู่บ้านตลอดตอนเขาป่วย ก็ยังอำเขาเล่นเลยว่าคางเขาทูม สวย ขายยังไง ขายไหม เขาก็บอกว่าไม่ขายเก็บไว้กินเอง อำไป อำมา ก็เลยพาไปหาหมอ ตี 3 ลุกขึ้นมาปวดแบบคนมาบิดกระดูกเขา เราก็นึกไม่ออกว่าความเจ็บปวดเขาขนาดไหน แต่รู้ว่าถ้าผู้หญิงคนนี้พูดถึงความเจ็บปวดแสดงว่ามันหนักมาก ต้องลุกขึ้นมาเอายาหม่องมานวด ต้องคุยกัน ปลอบกันเรื่อยๆ ณ เวลานั้น คือตี 3 ยันเช้าไม่หลับ ปวด นอนร้องไห้”

พี่เป็นมากี่ปีแล้ว?
อุ๋ม : “จริงๆ เป็นตั้งแต่เมษายน เพิ่งไม่กี่เดือน แต่รักษาจริงจังเพิ่งเริ่ม 3-4 เดือนนี้”

เห็นว่าจุดสังเกตอีกอย่างคือน้ำหนักตัวขึ้นผิดปกติ 1 เดือนขึ้นมา 10 กิโล?
อุ๋ม : “ใช่ค่ะ”
สมจิตร : “ขึ้นมาตัวบวม ขานี่บวม”
อุ๋ม : “บวมหมดเลย ทั้งหน้าเรา ตัวเรา ขาเราบวม”

สาเหตุหลักๆ เกิดจากอะไร?
อุ๋ม : “คุณหมอบอกว่าจริงๆ มันหาสาเหตุไม่ได้ 1.คือกรรมพันธุ์ แต่ทางบ้านหนูไม่มีใครเป็น”

การกินเกี่ยวไหม?
อุ๋ม : “คุณหมอบอกว่าอาจจะเป็นไปได้ อาจจะมีส่วน”

พอตรวจเจอโรคพุ่มพวงแล้วมีเจอโรคแทรกซ้อนไปอีก ตอนนั้นตรวจเจออะไรอีก?
อุ๋ม : “คุณหมอกลัวจะเป็น SLE ลงที่ไต เพราะเราบวมเยอะ บวมผิดปกติ คุณหมอก็เลยตัดชิ้นเนื้อไตไปตรวจเพื่อว่าเราลงไตหรือเปล่า เพราะเจาะเลือดผลมันไม่ 100 ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณหมอเลยอยากเอาชิ้นเนื้อไตเราไปตรวจ เจาะไตไปตรวจ 2 ชิ้น ผลออกมายังไม่ลงไตก็โชคดีไป”

ตอนนั้นรู้สึกยังไง?
อุ๋ม : “ก็กลัวเหมือนกัน กลัวผลว่าจะลงไต เพราะตอนนั้นเราบวมมาก”

เขาบอกว่าถ้าลงไต หรือขึ้นสมอง ถึงขั้นเสียชีวิตได้?
อุ๋ม : “ใช่ๆ”
สมจิตร : “ถ้าลงไตเหมือนที่เขาบอกโรคไตวายเฉียบพลัน มันสามารถตายได้เลย แต่พอตรวจแล้วไม่เจอเราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องรักษาอย่างจริงจัง”

ระหว่างที่รอผลตอนนั้นคิดอะไรอยู่?
อุ๋ม : “ก็คิดหลายอย่าง ถามว่ากลัวไหมก็กลัว ผลออกมาถ้าเราเป็นเราจะทำยังไง ก็คิดเยอะอยู่”

ได้บอกลูกไหม?
อุ๋ม : “ก็ไม่กล้าบอกเขาว่าคุณหมอว่าเราจะหนักหรือไม่หนัก”

แล้วตอนเข้าโรงพยาบาลพี่บอกลูกว่ายังไง?
สมจิตร : “เข้าโรงพยาบาลจุฬาฯ วันแรกที่มารักษาจริงจังตัวเขาเนี่ยเต็มไปด้วยแผลพุพองที่ขา น้ำที่พองออกมาก็จะไหลออกมา กางเกงยีนส์ที่เขาใส่มันจะเปียกด้วยน้ำ ก็เดินไปหาหมอ ตรวจเลือด ตรวจทุกอย่าง หมอสั่งแอดมิตได้ไหมวันนี้ ผมบอกเอาก็เอาถ้าหมอสั่ง คือมาเสื้อผ้าตัวเดียวมาจากต่างจังหวัดก็แอดมิตไป

หลังจากนั้นร่างกายเขาก็ดร็อปลงมาเลย ขาที่เคยเดินได้ เดินไม่ได้เลย ผมคิดว่าน่าจะแย่ลงเรื่อยๆ ดีนะถึงมือหมอแล้ว เขาไม่สามารถก้าวขาลงจากเตียงได้เลย”
อุ๋ม : “คือเท้าเราโดนพื้นไม่ได้เลย คือมันเจ็บเหมือนใครเขาเข็มมาทิ่มเราตลอดเวลา เราก็ถามหมอว่านี่หนูเป็นอะไร”

แล้วตอนไหนที่หมอทราบว่าเราเป็นโรค SLE?
อุ๋ม : “คุณหมอเจาะเลือดไปตรวจทั้งหมดหลายโรค ซึ่งที่คุณหมอคาดว่าน่าจะเป็น ก็ผลออกมาว่าเป็น SLE 100 เปอร์เซ็นต์ เราก็ถามคุณหมอว่าต้องรักษายังไง หนูจะหายไหม คุณหมอบอกว่ารักษาได้ไหม ได้ แต่ว่าเราต้องรักษากันแบบละเอียดอ่อนพอสมควร”
สมจิตร : “ก็เรียกหมอทั้งหมดมาหลายๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ที่มันพุพองออกมา เขาบอกว่าติดเชื้อในผิวหนังเขาด้วย เขาเรียกหมอศัลยกรรม หมอผิวหนัง หมอไต ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาทีละหมอ ก็เจาะเลือด ไปทีละหมอ แบบหนักมาก”

มันท้อขนาดไหน?
อุ๋ม : “ก็คิดว่าทำไมแจ็คพอตมาลงที่เรา”
สมจิตร : “วันที่อยู่โรงพยาบาลกันสองคนลูกๆ ไม่ได้มาครับ อยู่บ้าน ก็โทรบอกว่า แม่ไม่ได้กลับบ้านนะ แม่ต้องรักษาอยู่นี้ ก็โทรบอกเขา แต่สิ่งที่เด็กๆ เข้าใจว่าแม่ไม่สบาย แม่ป่วย แต่ ณ เวลาที่เราอยู่ 2 คน วินาทีนั้นร่างกายเขามันดร็อปลงๆ เราก็ใจไม่ค่อยดี”
อุ๋ม : “แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวแม่ก็กลับบ้าน”
สมจิตร : “แล้วเขาก็จับมือเราเหมือนสั่งเสียแล้ว เราก็ใจหาย”
อุ๋ม : “เราก็คุยกันบอกว่าถ้าเป็นอะไรไป คือ ห่วงลูกมากกว่า”

เด็กๆ รู้ยังว่าตอนนั้นแม่ไม่สบายมาก?
กำปั้น : “ตอนนั้นรู้แล้วครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหนักขนาดนี้ ผมก็โทรถามอาการแม่ทุกวันว่าหมอมาตรวจวันนี้แล้วแม่เป็นยังไงบ้าง จะโทรทุกช่วง 3 เวลา”

ตอนนั้นห่วงขนาดไหน?
กำปั้น : “มากเลยครับ”
จันทร์เจ้า : “ห่วงค่ะ แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมคุณแม่”
สมจิตร : “เขาไม่ให้ใครเข้าเลย เพราะว่าช่วงนั้นช่วงโควิดระบาดหนักมาก คนที่เฝ้าได้ผมแค่คนเดียว แล้วห้ามผมออกไปไหนด้วย ต้องอยู่กับเขาตลอด เพราะว่าถ้าออกไป ไปติดเชื้อโรคมานี่จบเลย”

พี่สมจิตรมีโอกาสสื่อสารกับลูกไหม?
สมจิตร : “ก็โทรคุยกันทุกวัน ตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว หมอเขาดูแลดี ไมต้องห่วง ไม่ต้องเครียด เดี๋ยวหมอจะอัปเดตอาการให้เราฟัง พอหาหมอได้ 2-3 วัน รู้สึกว่ารักษามาถูกทาง ร่างกายก็ตอบสนองเยอะขึ้น แต่สิ่งที่เราเห็นคือแฟนโดนหมอเจาะทั้งสองฝั่งเลย มันเยอะมาก ครั้งนี้เป็นครั้งที่หนักสำหรับเขามาก หนักที่สุด แล้วสิ่งที่เราเคยเจอ สัมผัสได้ว่าถ้าเขาไม่เจ็บมาก เขาจะไม่พูด หัวใจเกินร้อย”

วันนั้นคิดว่าตัวเองจะเดินไม่ได้ เป็นห่วงลูก ถึงขั้นจับมือพี่สมจิตรสั่งเสียเลย?
อุ๋ม : “ส่วนใหญ่ก็ห่วงลูก”
สมจิตร : “เขาบอกว่าถ้าไม่ไหวจะทำยังไง ผมบอกว่าถึงมือหมอแล้ว เดี๋ยวต้องดีขึ้น ก็ให้กำลังใจ ผมคิดอย่างเดียวถ้าเขาตาย ผมนี่หนัก ผมตายดีกว่า”

ตอนนี้ต้องทานยาทุกวัน?
อุ๋ม : “ต้องทานทุกวัน วันละ 10 กว่าเม็ด คุณหมอบอกว่าถ้าโรคไม่กำเริบ 1 ปี ทานยากดภูมิไว้ 1 ปี ถึงมันจะดีขึ้น แต่เราก็ต้องทานยาประมาณ 1 ปีก่อน แต่ถ้าโรคมันยุติไม่กำเริบก็อาจจะต้องพักการทานยาไปตามภูมิเรา ถ้าภูมิเราแข็งแรงก็อยู่ได้โดยไม่ต้องทานยา แต่ถ้าวันไหนมันกำเริบขึ้นมาเราก็ต้องทานยา กลับไปนับ 1 ใหม่ตามภูมิเรา”

วันไหนที่พี่รู้ว่าพี่รักภรรยามากกว่ากัน วันที่รู้ว่าจะเสียเขาไป หรือวันที่รู้ว่าเขาจะดีขึ้น?
สมจิตร : “ผมว่าวันที่ดีขึ้น ผมว่าวันที่เหมือนจะเสีย ผมว่าทุกคนมันต้องจากกันอยู่แล้ว แต่วันที่ดีขึ้นรู้สึกว่าเราจะได้อยู่กันอีกยาว เขาดีขึ้น ความรักมันยิ่งมากขึ้น เพราะเราเห็นความทุกข์ เห็นเหมือนเราจะจากกัน เรารู้ใจกันแล้ว พอดีขึ้นเราต้องใส่ใจซึ่งกันและกัน ทุกครั้ง ทุกชั่วโมงเรียกพ่อๆ ผมก็ต้องช่วยตลอดทุกเวลา พอมัยดีขึ้นหมอก็เริ่มนัดทุกอาทิตย์ เป็นทุกเดือน เดือนละครั้ง ลดตัวยา แล้วต้องกินอันนี้เสริมนะ ผมก็พยายามหาให้เขากิน รู้สึกว่าได้ดูแลซึ่งกันและกันในยามทุกข์ยาก ถึงแม้ในยามที่เราดีขึ้น เราก็ต้องดูแลกันต่อไป รู้สึกว่ารักเขาขึ้นครับ”

เด็กๆ ให้กำลังใจคุณแม่ยังไงบ้าง?
จันทร์เจ้า : “บอกว่าหายไวๆ แล้วก็กินยาให้ครบทุกมื้อ”
กำปั้น : “ก็เหมือนที่น้องบอก ให้หายไวๆ กินยาให้ครบ แล้วรีบกลับมาที่บ้านครับ”

วันที่เห็นแม่กลับบ้านวันแรกรู้สึกยังไง?
กำปั้น : “วันนั้นรู้สึกดีใจมากครับ ที่แม่เรากลับมาได้แล้ว”

ณ วันนี้อาการเป็นยังไงบ้าง?
อุ๋ม : “ตอนนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์”
สมจิตร : “คุณหมอห้ามไปเจอคนเยอะๆ เพราะภูมิเขาอ่อน ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลนี่เป็นรายการแรกที่ผมพาเขามา เพราะผมมั่นใจสุขภาพเขาดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้น ก็เลยได้มาพร้อมหน้า พร้อมตากันครั้งนี้”

พี่ได้อะไรจากเหตุการณ์นี้บ้าง?
อุ๋ม : “ได้เรียนรู้ว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง เราเหมือนประมาทตัวเองมาตลอด ทุกสิ่ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้”
สมจิตร : “ผมเรียนความไม่ประมาทของชีวิตคนเรา เกิดขึ้นอยู่ แล้วก็ดับลงได้ แต่สิ่งที่เรามี ณ ปัจจุบัน อย่างช่วงนี้เป็นช่วงที่โควิดระบาดมา 2 ปี แล้วร่างกายก็มีปัญหาอีก ต้องรักษา ต้องพยาบาลอีก ทีนี้ผมเรียนรู้ตัวเราคือว่าในวันที่เราพอมีเงิน เราก็เก็บมันไว้ พอเราทุก เราเหนื่อย เราหาหมอก็ใช้เงินตรงนั้นแหละมาดูแลรักษา รู้สึกเลยว่าความไม่ประมาทในชีวิตสำคัญที่สุด มีสติในทุกๆ เรื่อง ความพอเพียงก็เป็นส่วนนึงที่เรานำมาใช้ ถึงแม้ยามลำบากเราก็ยังพออยู่ได้”

Cr.คุยแซ่บ SHOW