เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

หลวงพี่แจง ป้ายห้ามนำสิ่งของที่มีเครื่องหมายฮาลาลเข้าวัด เผยไม่มีเจตนาสร้างความแตกแยก เพียงแต่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้ เป็นเขตพุทธสถาน

หลังจากที่สื่อโซเชียล ได้มีการแชร์ภาพสำนักสงฆ์แห่งนี้ โดยเป็นภาพพระภิกษุยืนข้างป้ายที่มีข้อความว่า วัดเป็นเขตพุทธสถาน ขอความร่วมมือให้ญาติโยมทุกท่าน กรุณาอย่านำมาถวายพระภิกษุสงฆ์และสามเณร ห้ามนำเข้าวัด ผลิตภัณท์สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ต่างศาสนานี้ เข้ามาใช้ภายเขตวัดนี้โดยเด็ดขาด พร้อมกับมีตราสัญลักษณ์ฮาลาล และมีกากบาททับอยู่ พร้อมกับชี้ไปที่ป้ายดังกล่าว จนกระทั่งเกิดการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์  ซึ่งบรรยากาศภายในวัดเงียบสงบ เพราะวัดตั้งอยู่ห่างจากถนนเข้าไปในสวนยาง อีกกว่า 500 เมตร เมื่อเข้ามาถึงภายในวัดก็จะเห็นป้ายดังกล่าว ตั้งอยู่บริเวณปากทางที่จะเข้าไปถึงศาลากลางอย่างเห็นได้ชัดเจน

โดยผู้สื่อข่าวพบกับ พระมหาธีรเวทย์ สุรจิตโต อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ของที่พักสงฆ์แก้วนาคราชแก่นธรรม (ธ) แห่งนี้ ได้กล่าวว่าตนบวชมาได้ 17 พรรษาแล้ว และวัดแห่งนี้ก็ได้สร้างมาตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2555 สำหรับเรื่องป้ายที่ทางวัดทำขึ้นจนเป็นกระแสทางโซเชียลนั้น ขอชี้แจงว่า ทำขึ้นมาเพราะต้องการให้รู้ว่าเป็นเขตพุทธสถานเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความแตกแยกใดๆ สถานที่นี้ญาติพี่น้องเราทุกคนร่วมกันถวาย เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เป็นสมบัติของชาติ ของพระพุทธศาสนา ต้องการสงวนให้เป็นเขตพุทธสถานจริงๆ เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เพียงแค่ขอความร่วมมือเท่านั้นเอง และไม่ได้ห้ามญาติพี่น้องหรือใครว่าไม่ให้ไปบริโภค คือขอเฉพาะบริเวณนี้ ถึงญาติพี่น้องจะเอามาก็จริง แต่อาจารย์ก็รับให้ เพราะบางทีเขาไม่รู้ เราจะปฏิเสธน้ำใจเขาไม่ได้ ส่วนการที่ทุกคน เข้าใจและเห็นต่างกัน ก็เป็นความเห็นที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้

ส่วนทาง นายประสงค์ ทองประ ผอ.สนง.พระพุทธศาสนา จ.สุรินทร์ ได้กล่าวว่า ที่พักสงฆ์แห่งนี้เป็นที่ส่วนบุคคล จะทำอะไรก็ทำได้ จะไปห้ามหรือไปไล่ก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนตนมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล พระทำไปในฐานะสมาชิกชาวพุทธคนหนึ่ง ส่วนเรื่องกฎหมายหรือวินัยสงฆ์ ตนมองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด แต่อาจไม่เหมาะสม เพราะอาจจะส่อไปในทิศทางสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนาก็สามารถเป็นได้ หากสังคมมองว่าอาจจะส่อไปในทิศทางการเข้าใจผิดทางศาสนา ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ที่ต้องลงไปดู ซึ่งสำนักพุทธเองก็ไม่มีอำนาจลงโทษใดๆ