เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

“เบนซ์ เรซซิ่ง” อดีตสามี แพท ณปภา และพ่อของ น้องเรซซิ่ง ที่วันนี้ออกมาเปิดใจถึงโมเมนต์การเจอลูกชายครั้งแรก รับเครียดจัดเคยคิดฆ่าตัวตาย พร้อมเคลียร์คำครหาใช้เส้นสาย-เงินยัดจนหลุดคดี มาพร้อม “คุณแม่สุพรเพ็ญ”เล่าช่วงเวลาแห่งความทรมานกับการสู้คดีกว่า 6 ปี ผ่านทางรายการ “คุยแซ่บShow”

ข่าวที่น่าสนใจ

ปรับตัวเข้าที่หรือยัง?
เบนซ์ : เริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ค่อยปกติเท่าไร เพราะเรื่องกิจวัตร การกิน การนอน มันเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เลยต้องใช้เวลาอีกสักนิดในการปรับตัว

มื้อแรกในการออกมา คือฝีมือคุณแม่?
เบนซ์ : ครับ มันเป็นสิ่งที่เราต้องการ อยากกินอาหารแม่มาตั้งนานแล้วตั้งแต่อยู่ข้างใน เพราะมันเป็นรสมือที่เรากินมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราคุ้นเคย พอกลับบ้านมา แม่ก็ทำข้าวไข่เจียวกับผัดผักให้กิน อร่อยมากครับ

พอกลับมา ทำวันนั้น กับทำอาหารปกติให้ลูก ความรู้สึกต่างกันไหม?
แม่สุพรเพ็ญ : มันก็ต่างกัน วันนั้นเขาออกมา เขาก็พูดอยู่ตลอดว่าเขาอยากทานกับข้าวที่คุณแม่ทำ วันนั้นไปรับเขา เราจะทำอะไร คนถามว่าแม่จะไปทานข้าวที่ไหน ก็ไม่ ไข่เจียวค่ะ (หัวเราะ)

คดียืดเยื้อยาวนาน 6 ปี นานมาก เหมือนเราเห็นเขาเข้าๆ ออกๆ เหมือนจะจบแต่ไม่จบสักที พอวันที่เขาบอกว่าลูกเราถูกปล่อยออกมาวันนั้น ความรู้สึกแม่เป็นยังไง?
เบนซ์ : โห ดีใจจนพูดไม่ออก เหมือนยกภูเขาออกจากอก ตลอดเวลา 6 ปี เราลำบาก ต้องตามเรื่องเอกสาร ทนายเราก็ต้องตาม

วินาทีแรกที่รู้ว่าจบแล้ว?
เบนซ์ : เหมือนเรารอคอยวันนี้มาตลอดชีวิต เป็นวันที่เราเฝ้ารอคอย เราสิ้นสุดคดี เราจบคดี เราชนะคดี เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างโล่งจากใจเรา น้ำตาก็เอ่อล้นออกมา เราห้ามน้ำตาไม่อยู่จริงๆ วันที่เราไปยืนรอฟังคำพิพากษาวันนั้น

ย้อนไปถึงคดี บางคนอาจลืมไปแล้วหรือไม่ทราบ ว่าเราโดนคดี 2 เรื่อง มีเรื่องอะไรบ้าง?
เบนซ์ : หลักๆ แล้วในคดีนี้เป็นความผิด 2 มูลฐาน อันดับแรกคือสมคบกันฟอกเงิน และสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งทั้งหมดมันเป็นแค่เส้นทางการเงิน ที่เราไปมีความเชื่อมโยงกับคนถูกจับในคดียาเสพติด

แล้วมันไปเชื่อมโยงได้ยังไง?
เบนซ์ : ตั้งแต่แรก ผมประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งรถ ซ่อมรถ ซุปเปอร์ไบค์อยู่แล้ว ซึ่งมีลูกค้ามากหน้าหลายตาที่เขามาซื้อรถกับเรา เราก็จะมีการซื้อรถขายรถโอนเงินกันปกติ แต่วันดีคืนดี เราไม่รู้หรอกสุดท้ายเขาถูกจับเรื่องยาเสพติด ซึ่งการซื้อขายของเรา มันเกิดขึ้นก่อนมีคดีนี้ตั้งสองสามปีก่อนแล้ว แต่ในเมื่อเส้นทางการเงินเราไปแตะกันปุ๊บ มันก็เข้าองค์ประกอบของคดีได้ เราต้องไปชี้แจง ไปพิสูจน์เอาในการสู้คดี

ตอนนี้สองคดีที่โดนข้อหาไป สรุปแล้ว เราได้ทำจริงหรือเปล่า?
เบนซ์ : ตั้งแต่เริ่มต้นคดี ผมบริสุทธิ์ใจตั้งแต่แรกมาโดยตลอด เราให้การปฏิเสธ เข้าไปให้การ นำเอกสารไปยื่นตลอด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำธุรกิจมา มันเป็นธุรกิจที่ตรวจสอบได้ ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา สีดำเลย กว่าจะถึงจุดนี้ก็เหนื่อยมาก 6 ปี

ณ วันที่ลูกโดนคดี แม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ว่าลูกเราบริสุทธิ์?
แม่สุพรเพ็ญ : คุณแม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะธุรกิจเขาก็ทำอยู่ในพื้นที่ตัวเอง อยู่ใต้ตึก เขาก็ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ไปเช่าใหญ่โต เขาก็ทำใต้ตึกของเขา เดี๋ยวก็มีคนมา เขาก็ซื้ออะไหล่ ซื้อรถ ตั้งแต่แรกเลยที่เราให้เขาทำ คือเราลงทุนให้เขาก่อน สั่งรถเข้ามาจากต่างประเทศ 10 คัน ครั้งแรกเลย

เห็นว่าลูกทำงาน ทำมาหากินก็ช่วยสนับสนุน และอยู่ในสายตา?
แม่สุพรเพ็ญ : ใช่ค่ะ

เบนซ์ยืนยันกับเราแล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวจริงๆ ณ วันที่แม่รู้ว่าลูกโดน 2 คดี แม่ตกใจขนาดไหน?
แม่สุพรเพ็ญ : ตกใจ จริงๆ ของเราไม่เคยมีคดี เราทำธุรกิจค้าขายมาก็ไม่เคยโดนเรื่องอะไร พอโดนเราก็ไปไม่เป็น เราเดินไม่ถูกเลย ไม่รู้จะเดินซ้ายหรือขวา คนรอบข้างเราที่เข้ามาก็มีแต่เงิน

ตอนบุกค้นที่ร้าน เหมือนในหนังไหม?
เบนซ์ : ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่บ้านทำอพาร์ตเมนต์ มันมีหลายที่อยู่แล้ว ไม่ได้อยู่ที่นั่นตลอดทุกวัน วันนั้นก็ไม่ได้เจอ แต่เราประสานติดต่อไปให้การทันทีเลยที่มีเรื่อง เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้ทำ

ตอนเข้าไปอยู่ในนั้นคือ 1 ปี 3 เดือน?
เบนซ์ : ตอนสู้คดีศาลชั้นต้น อยู่ข้างใน 1 ปี 3 เดือนเพื่อสู้คดี แล้วออกมาฟังคำตัดสิน

แม่สุพรเพ็ญ : ระหว่างนั้นต้องรอสืบพยาน สืบเอกสารทั้งหมดก่อน ถึงรอฟังคำตัดสิน

คนไปหาพยาน หาข้อมูลทั้งหมดคือใคร?
แม่สุพรเพ็ญ : คุณแม่กับพี่ชายเขา สองคนก็ช่วยกัน เข้าไปหาเขาถามว่าเอกสารอยู่ตรงไหน แต่ส่วนมากแม่จะรู้ว่าเขาเอาเอกสารไว้ตรงไหน เพราะเราทำการค้าเราจะรู้

ตอนแรกมั่นใจว่าคงไม่ต้องเข้าไปอยู่ในนั้น?
เบนซ์ : ใช่ เพราะเรามีเอกสารยืนยันเขาได้เลย ใบสัญญาซื้อขาย การซื้อ การขายออก ทุกอย่างเราเอาไปชี้แจงให้เขาแล้ว แต่ทางนั้นก็รับเรื่องเอาไว้ แต่บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวแจ้งข้อกล่าวหาและไปอธิบายให้ศาลฟัง ไปสู้ในศาล แต่อยากบอกว่าอะไรที่เกี่ยวกับยาเสพติด อัตราโทษมันสูง เลยไม่มีโอกาสได้ประกันตัวมาสู้ข้างนอก เราเลยต้องสู้อยู่ข้างใน

แม่รู้สึกยังไงที่ลูกต้องเข้าไปอยู่ในนั้น?
แม่สุพรเพ็ญ : ครั้งแรกที่เข้าไป ยังไงคุณแม่ก็มั่นใจว่าศาลต้องให้ประกันตัว แม่ก็นั่งรอ รอจน 4-5 โมงก็ยังไม่เห็น พอศาลบอกว่าอัตราโทษสูง ไม่สามารถให้ประกันตัวได้

เบนซ์ : ศาลบอกว่าในคดีนี้อัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต ถ้าเราสู้แพ้ในคดีคือประหารชีวิต เขาเลยไม่ให้ประกันตัวเพราะเราอาจหลบหนีได้ หลายๆ คนถ้ามีโทษสูงขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเขาน่าจะหนีแล้ว ไม่มายืนยันความบริสุทธิ์ใจ สู้คดีจนถึงสุดท้ายอย่างนี้หรอก

ตอนได้ออกมา คิดมั้ยว่าหนีดีกว่า?
เบนซ์ : ไม่เคยมีความคิดหนีเลย ถามว่าผมหนีได้ไหม ผมหนีได้ แต่ผมหนีไม่ได้ เพราะทุกคนรอบตัวเรา ที่สู้กันมาตลอด จะเดือดร้อนไปหมดเลย แต่ถ้าเราหนี แปลว่าเรายอมรับในสิ่งที่เราโดนข้อหา สังคมก็จะตัดสินว่าผมทำผิด ผมก็ทิ้งครอบครัวไม่ได้ มีแม่ พี่ น้อง ภรรยา และลูก แล้วลูกโตขึ้นมาจะยังไงถ้าโดนว่าพ่อหนีคดีความ ถ้าสุดท้ายผมต้องแพ้ ผมก็ยอมติด ผมไม่หนี

พอศาลพูดว่าคุณจะได้รับโทษถึงประหารชีวิต วันนั้นฟังคำนี้แล้วรู้สึกยังไง?
เบนซ์ : ถ้าย้อนกลับไปตอนศาลชั้นต้น เขาพิพากษาจำคุกผม 8 ปี ฐานฟอกเงิน แต่เรื่องสนับสนุนยาเสพติดยกฟ้อง เลยประกันตัวออกมา แต่ว่าพอมาอยู่ข้างนอกเราสู้ศาลอุทธรณ์ต่อ เราเห็นชั้นต้นเราชนะมาแล้ว เราก็มั่นใจว่าเราไม่เกี่ยวกับยาเสพติดตั้งแต่แรก แต่ปรากฏว่าวันที่เดินทางไปฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ วันนั้นทุกอย่างกลับตาลปัตรหมดเลย จากที่เราเคยชนะเรื่องยา วันนั้นศาลตัดสินจำคุกผมตลอดชีวิต แม่ก็อยู่ข้างนอก ผมเข้าไปกับทนาย ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลาย กลับไปเป็นคนละเรื่องเลย จากที่เราเคยชนะแล้วเรื่องนี้ กลายเป็นว่าเราต้องถูกจำคุกตลอดชีวิต

ความรู้สึกตอนที่ได้ยิน?
เบนซ์ : ถ้าถามผม ผมก็มีความหวังอยู่ตลอด และมั่นใจในสิ่งที่เราสู้มาตลอด เราต้องพึ่งศาลฎีกา ศาลสูงเป็นที่สุดท้าย และต้องยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แม้ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตแล้วแต่เราก็ต้องสู้ต่อ

หัวอกแม่ พอได้รับทราบข่าว?
แม่สุพรเพ็ญ : พอทราบข่าวแม่ก็งง ชั้นต้นยกแล้ว ทำไมอุทธรณ์กลับ

เบนซ์ : เหมือนตกเหว

แม่สุพรเพ็ญ : ก็บอกว่าไม่เป็นไรลูก มีศาลฎีกาอีกศาลนึง เดี๋ยวเราก็สู้กันต่อ

ออกมาทำอะไรอย่างแรก หลังรู้ว่าลูกต้องเข้าไปข้างในอีก?
แม่สุพรเพ็ญ : คุยกับทีมทนายว่าเราจะฎีกา ทีมทนายก็บอกว่าดูข้อมูลศาลชั้นต้นว่าออกมาเป็นยังไง และทำเอกสารยื่นขออนุญาตฎีกา เฉพาะขออนุญาตก็เกือบ 1 ปีนะคะ

เบนซ์ : ในการสู้ศาลฎีกา ไม่ใช่ทุกคดีที่ศาลฎีกาจะรับเอาไว้ มันไม่เหมือนศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ที่สู้ได้เลย ศาลฎีกาต้องนำเรื่องมาพิจารณาก่อนว่าคดีนี้ศาลจะรับอนุญาตเอาไว้สู่ศาลฎีกานะ เรารอลุ้นแค่ขั้นตอนนี้ 1 ปี ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ

แม่สุพรเพ็ญ : กว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอนมันไม่ง่าย

ครั้งแรกตอนเข้าเรือนจำ ปรับตัวยากไหม?
เบนซ์ : มันไม่เคยทำใจยอมรับได้เลยสักวัน แต่ต้องบอกก่อนว่าที่ผมอยู่คือทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง จะคุมขังเฉพาะผู้ต้องขังคดียาเสพติด จะไม่มีพวกชิงปล้นฆ่า ความเป็นอยู่ผมคิดว่าอาจไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร เพราะทุกคนโดนจับเสพยาบ้าง ค้ายาบ้าง แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก

โดนแกล้ง โดนทำร้ายไหม?
เบนซ์ : ไม่ได้เจอประเภทนั้น อาจมาดูแลเรา ห่วงเรา เป็นเอฟซีเรา ช่วยดูแลเราซะมากกว่า เขาเห็นใจเราที่เพิ่งมีลูกเล็ก เข้าไปอยู่ข้างใน ก็พยายามมาเทคแคร์เรา ทุกคนต้องช่วยให้กำลังใจกัน เพราะไม่มีใครหรอกอยากเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ข้างใน มันมีทั้งคนที่รับได้บ้างและรับไม่ได้บ้าง อย่างน้อยเราก็ต้องคอยให้กำลังใจกันไว้ เพราะทุกคนอยู่ด้วยความหวัง

เข้าไปครั้งที่สอง ยังไม่รู้จะได้ออกเมื่อไร ความรู้สึกต่างกันไหม?
เบนซ์ : ครั้งสุดท้ายเป็นอะไรที่เราคาดหวังไว้เยอะมากๆ เพราะมันเป็นยกสุดท้ายแล้ว มันเดิมพันด้วยชีวิตจริงๆ มันเครียด เราเครียดจนลืมหายใจ

บางทีก็ไม่อยากหายใจ?
เบนซ์ : ใช่ ตอนเราเข้าไปใหม่ๆ บางทีเรารับไม่ได้กับความเป็นอยู่ มีเจ้าหน้าที่เคยถามว่าชีวิตนี้เคยลำบากไหม ผมก็มาคิดดูว่าชีวิตนี้เราไม่เคยลำบากเลย อยู่ที่บ้านเขาดูแลเราอย่างดี อยากได้อะไรเราก็ได้ เราเพิ่งรู้ว่าอ๋อ ความลำบากเป็นอย่างนี้ ผมรับไม่ได้ที่จะต้องถูกจำกัดอิสรภาพ ความเป็นอยู่หลายแหล่ เคยเครียดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย ผมรับไม่ได้หรอกแบบนี้

เข้าไปอยู่นานไหมที่มีความคิดนี้?
เบนซ์ : เป็นช่วงแรกๆ ที่ปรับตัวยังไม่ได้ ผมคิดว่าให้ผมมาอยู่อย่างนี้ ผมยอมตายดีกว่า

แม่เคยรู้ไหมว่าเบนซ์อยากฆ่าตัวตาย?
แม่สุพรเพ็ญ : ไม่เคยเลยค่ะ เพราะเวลาแม่ไปเยี่ยมเราก็ให้กำลังใจว่าสู้ๆ นะ เราสู้ไปด้วยกัน ถ้าลูกไม่สู้ แล้วแม่จะสู้ยังไง

เบนซ์ : เวลามาเยี่ยม ก็ร้องไห้กันทุกครั้ง

อะไรทำให้เราไม่ทำแบบนั้น?
เบนซ์ : มันเป็นสิ่งเดียวเลยที่ทำให้ผมมีกำลังใจจะอยู่ต่อคือลูก ผมคิดว่าผมต้องสู้เพื่อออกมาหาลูกให้ได้ ถ้าวันนั้นไม่มีลูกผมน่าจะตายในเรือนจำไปแล้ว เพราะผมทำใจไม่ได้

เป็นครั้งแรกไหมที่แม่ได้ยินจากปากลูกว่าเขาอยากฆ่าตัวตาย?
แม่สุพรเพ็ญ : ใช่ค่ะ เขาไม่เคยเล่าเลย

แม่ได้ยินแล้วรู้สึกยังไง?
แม่สุพรเพ็ญ : ก็รู้สึกใจหายเนอะ ตอนไปเยี่ยมเขาเราก็บอกว่าเดี๋ยวก็กลับบ้าน ให้กำลังใจกันตลอด แม่ไปเยี่ยมทุกอาทิตย์เลย

ตอนเห็นหน้าลูกผ่านที่กั้น?
แม่สุพรเพ็ญ : เหมือนอยู่กันคนละโลก เหมือนเราฝัน เราไปเยี่ยมทีไรก็เหมือนฝัน ลูกเราเคยอยู่ด้วยกัน เคยกอดกัน แต่อยู่ดีๆ มันเหมือนอยู่คนละฝั่ง

เบนซ์ : แต่ก่อนไปเยี่ยมในเรือนจำ เขาให้เยี่ยมได้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ชม. เดือนนึงคือ 4 ครั้ง 4 ชม. ถ้านับรวมเป็นปีนึงจะเป็นเวลาทั้งหมด 48 ชม. หรือ 2 วัน นั่นคือเวลาที่เราจะได้เจอคนที่เรารักจริงๆ ทั้งปีมีเวลาแค่ 48 ชม. แต่ขณะที่เรามีเวลามากมายอยู่ข้างนอก เรากลับมองข้ามความสำคัญตรงนั้นไป บางทีเราโกรธ เราทะเลาะกัน เรางอนกันเป็นวัน แต่บางคนที่อยู่ข้างใน เขามีเวลาแค่ 48 ชม. ที่จะเจอคนที่เรารัก เราต้องใช้เวลาทุกวันให้คุ้มค่าที่สุดกับคนที่เรารัก

สอนให้เรารักคนใกล้ตัวมากขึ้น?
เบนซ์ : ใช่ครับ สอนให้เราอดทน และรู้สึกว่าเวลาเรามีเรื่อง สุดท้ายก็มีคนข้างตัวเราก็เป็นคนช่วยเหลือเราทุกเรื่อง

คุณแม่ช่วยสุดตัว?
แม่สุพรเพ็ญ : ใช่ค่ะ ส่วนมากแม่ตามเรื่องเอกสาร ทนายเขามีหน้าที่เขียนสำนวนให้เราแล้วไปยื่น นอกนั้นเป็นหน้าที่แม่ในการไปตาม แค่ไปยื่นก็นาน

ท้อไหม?
แม่สุพรเพ็ญ : ไม่ท้อ เราคิดว่ายังไงก็กลับบ้าน บอกลูกตลอดว่าเดี๋ยวก็กลับบ้าน อดทนนะ

แม่ไม่ได้สู้แค่ตัวนะ ตังค์ก็เสียไปเยอะนะ ครั้งแรกที่ไปคุย จ่ายเงินค่าทนายไปเท่าไร?
แม่สุพรเพ็ญ : 3.1 ล้าน อันนี้แค่ประกันตัว ครั้งแรกเลยที่เข้าไป แม่ก็ไม่รู้ เราไม่เคยมีเรื่อง เพื่อนก็แนะนำทนายมา เขาก็มาคุย เขาบอกว่ายังไงก็ได้ประกันตัวแน่นอน แต่ต้องเอาเงินสดให้เขา แม่บอกว่าภายใน 1 เดือน ทำสัญญากัน ถ้าประกันได้คุณก็เอาไป สุดท้ายทำไม่ได้ พอโทรศัพท์หาก็ไม่รับสาย ทวงก็ไม่ยอมคืน ไม่ยอมติดต่อ ไม่คุยด้วย

เบนซ์ : เสียไปเลย 3.1 ล้าน ก็ฟ้องร้องเป็นคดีกัน

แม่สุพรเพ็ญ : แม่ไปร้องสภาทนายความ สภาทนายความก็ลบชื่อ ไปฟ้องแพ่ง ศาลสั่งให้จ่าย เขาก็ไม่จ่าย ไปฟ้องล้มละลาย ก็ไม่มีทรัพย์สินให้ยึด

เบนซ์ : เขาดูเป็นคนน่าเชื่อถือ มีตำแหน่งวิชาการนำหน้า เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ดูน่าเชื่อถือมาก สุดท้ายก็โกงเงินเราไปอยู่ดี

แม่สุพรเพ็ญ : ก็ฟ้องเป็นคดีอาญา ตอนนี้จบแล้ว ศาลสั่งจำคุก 3 ปี แต่เงินไม่คืนนะ (หัวเราะ)

พอเป็นคดีดังๆ ก็มีทนายคนดัง ดังมากด้วย ติดต่อมาหาแม่ เขาว่าไง?
แม่สุพรเพ็ญ : เขาบอกคดีนี้เขาทำได้ แต่เขาเรียกเงินเยอะอยู่นะ เรียกตั้งแต่ 5 ล้าน ถึง 30 ล้าน

คนที่บอกว่าดังมากๆ เรียก 20 ล้าน คุณแม่บอกเขาว่ายังไง?
แม่สุพรเพ็ญ : ไม่เป็นไร แม่ไม่คุยกับเขา ก็คือจบ

เบนซ์ : เขาไมได้ดูพฤติการณ์ว่าสู้ได้หรือสู้ไม่ได้ เขาเรียกเงินก่อนเลย 20 ล้าน เขาไม่รู้เลยว่าข้อมูลเกี่ยวพันอะไรยังไง จะสู้ได้หรือไม่ มาถึงก็เรียกก่อนเลย เป็นอย่างนี้เยอะมาก ทนายความเข้าหาเยอะมาก

แม่สุพรเพ็ญ : เยอะมาก ทนายความที่เราไม่รู้จัก จนตอนนี้รู้จักหมดเลย เวลาเราเกิดเรื่องทุกคนจะวิ่งเข้ามา

เบนซ์ : เรามีคดีอยู่ข้างในก็แย่อยู่แล้ว เหมือนเขามาฉวยโอกาสในยามที่เราเดือดร้อน

แม่เคยเล่าให้เขาฟังไหม แม่ทำอะไรบ้าง ตอนวิ่งเต้นช่วยเรื่องคดี?
แม่สุพรเพ็ญ : ไม่เคยเล่าเลย แม่ก็บอกสู้ๆ สู้ไปด้วยกัน เดี๋ยวก็กลับบ้าน (หัวเราะ)

เบนซ์ : ร้องไห้ก็ครึ่ง ชม.แล้ว

แม่สุพรเพ็ญ : ให้เขาดูแลตัวเองดีๆ กินให้อิ่ม นอนให้หลับ เดี๋ยวก็กลับบ้าน

เบนซ์ : บางทีมาเยี่ยมวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์ไปแอดมิต รพ.ก็มี แต่เขาไม่ได้บอกให้เรารู้

แม่สุพรเพ็ญ : ความเครียดมันก็มีเนอะ (หัวเราะ)

วันแรกที่ได้นอนที่บ้าน?
เบนซ์ : รอบนี้ผมไปใช้ชีวิตอยู่ข้างในเกือบ 3 ปี มันค่อนข้างนาน พอกลับมามันเหมือนยังไม่ชิน บางทีตื่นมากลางดึกเหมือนฝันร้ายอยู่เลย ตื่นมาพบกับความมืด ไม่มีใครเลย จากที่อยู่ข้างใน ไม่มีวันไหนที่ปิดไฟนอน ก็นอนกันหลายคน 40-50 คน เราชินในภาพแบบนั้น พอกลับมาก็ยังปรับเรื่องการกินการนอนไม่ได้ ตอนนี้ไปไหนก็ตัวติดกับแม่

สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องแม่รู้สึกยังไง?
แม่สุพรเพ็ญ : ดีใจมากเลย ดีใจจนพูดไม่ออก (หัวเราะ) ตอนนั้นอยู่หน้าบัลลังก์ด้วยกัน

พอได้ยินคำนั้น สองคนทำไง?
แม่สุพรเพ็ญ : เบนซ์เขาก็ร้องไห้ (หัวเราะ)

เบนซ์ : เป็นวันที่ผมดีใจที่สุดในชีวิต เป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอด

พอเราออกมา หลายคนก็ชื่นชม หลายคนก็นินทา บางคนบอกว่าใช่สิ มีตังค์ ก็ใช้เส้นแหละถึงได้ออกมา ได้ยินอย่างนั้นเราเป็นยังไง?
แม่สุพรเพ็ญ : แม่ก็เฉยๆ เราห้ามความคิดใครไม่ได้ ใครจะพูดอะไรก็พูดไป เพราะเรื่องเราจบแล้ว เราก็สบายใจแล้ว ไม่สนใจแล้ว

เบนซ์ : ผมเจอคนว่า คนด่ามาเยอะ ถ้าหากวันนั้นผมแพ้คดี ติดคุกจริงๆ เขาก็ซ้ำเติมเราอยู่ดี แต่ถ้าเราสู้คดีจนชนะ เขาก็หาว่าเราใช้เงินสู้คดีหรือเปล่า แต่คดีนี้เราสู้ด้วยพยานหลักฐานจริงๆ เลยไม่มีวิ่งเต้นเลย เพราะเรามั่นใจในพยานหลักฐานเราทั้งหมด

ตลอด 6 ปีต้องใช้เงินอะไรบ้าง?
แม่ : มีแต่ค่าทนาย อย่างอื่นไม่มีอะไร เพราะเราไปหาใครไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีใครคุยกับเราหรอก เรามีคดีแล้วคดียาใครๆ ก็กลัว ก็ไม่เป็นไร เราก็สู้ด้วยตัวเองนี่แหละ

เสียเวลา เสียเงิน แล้วเงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ 8 หลักเลย 10 ล้าน?
เบนซ์ : ทรัพย์สินโดนยึดอายัดไปทั้งหลายแหล่ก็ 8 หลักแน่นอน ทั้งเสียเงิน เสียเวลา มีแต่เสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรดีเลย

ทั้งชีวิตเรา ถ้าวันนั้นไม่มีแม่ เราอาจไม่ได้ออกมา?
เบนซ์ : ไม่มีทางได้มานั่งอยู่ตรงนี้แน่นอน

แม่สู้ให้เราทั้งชีวิต เบนซ์อยากบอกอะไรคุณแม่?
เบนซ์ : (มอบพวงมาลัยให้คุณแม่) อยากขอบคุณแม่ที่เราสู้กันมาตลอด อยู่ร่วมกันมาตลอด ถ้าไม่มีแม่ วันนี้ก็ไม่มีทางชนะได้ออกมา ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณยังไงแล้ว (ก้มกราบแม่)

แม่ : ไม่เป็นไร แค่วันนี้เราได้ออกมาเป็นครอบครัวก็ดีใจแล้ว (กอดลูก)

จะไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปอีกแล้วในชีวิตนี้ แม่รู้สึกยังไง?
แม่สุพรเพ็ญ : ลูกแม่ 3 คน ทุกคนเป็นคนดีหมด เขาไม่ได้นอกลู่นอกทาง ช่วยกันทำมาหากิน ยิ่งคนโตจะเหนื่อยเยอะ เพราะเขาช่วยตามคุณแม่ตลอด เรื่องเอกสาร ตามหลักฐาน ไปเยี่ยมน้อง ทุกอาทิตย์ต้องไปเยี่ยมกัน เราไม่มีเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ พอหลานสาวถามว่าไปเที่ยวต่างประเทศกันไหม เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวรอเจ๊กเบนซ์ออกมาแล้วไปพร้อมกัน

อยากบอกอะไรลูกชาย?
แม่สุพรเพ็ญ : วันนี้แม่ก็ดีใจแล้วที่ได้ลูกแม่กลับมา เรามาอยู่เป็นครอบครัว ต่อไปทำอะไรก็ต้องคิดให้เยอะ โดยเฉพาะเพื่อน มันก็มีทั้งคนดีและไม่ดี เราก็ไม่สามารถรู้ได้ เราต้องดูให้ดีๆ

ออกมาวันแรกเจอลูกเลย เป็นไงบ้าง?
เบนซ์ : ดีใจมาก เป็นการที่เราได้กลับมาเจอกันโดยไม่ต้องมีห่วงแล้ว ไม่ต้องคิดว่าเราจะต้องกลับเข้าไปข้างในอีกไหม เราต้องติดคุกอีกหรือเปล่า มันเป็นวันที่เราหลุดพ้นทุกอย่างแล้ว รู้แล้วว่าหลังจากนี้เราจะใช้เวลากับเขาได้อย่างเต็มที่

ตอนลูกเจอเรา?
เบนซ์ : เขายังจำเราได้ มีโอกาสเจอบ้าง หลายๆ เวลา แต่อาจไม่ได้เจอกันบ่อย เลยอาจมีความเกร็งๆ เขินๆ กันนิดนึง

ประโยคแรกที่พูดกัน?
เบนซ์ : เขาบอกปะป๊าหล่อ (หัวเราะ)

ภูมิใจในตัวลูกชายไหม?
เบนซ์ : ภูมิใจครับ เราเคยเห็นเขาผ่านๆ ทางทีวี ตอนเขาแสดงละคร พอเราเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ น่ารักจังเลย เราภูมิใจ

คุณย่าภูมิใจในตัวหลานแค่ไหน?
แม่สุพรเพ็ญ : เรซซิ่งเขาเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด พูดเป็น อยู่เป็น

แต่ยังโดนผลกระทบจากโรงเรียน มีเพื่อนๆ หลายคนถามน้องเรซซิ่งว่าพ่อติดคุกเหรอ เราได้ยินแล้วรู้สึกยังไง?
เบนซ์ : ได้ยินข่าวนี้ผ่านหูมาบ้าง ผมคิดว่าผู้ปกครองควรคิดให้เยอะๆ นิดนึง ไม่ควรพูดอะไรที่เป็นการกระทบความรู้สึกของเด็กเขา วันนี้เขาอาจไม่รู้หรอกว่าการติดคุกหรือไม่ติดคุกคืออะไร แต่เป็นช่วงที่เขาพัฒนา เป็นช่วงที่เขาจดจำ เราเสพข่าวมาแล้วก็ควรคิดให้เยอะๆ ก่อนพูดอะไรออกไป ซึ่งผมคิดอยู่แล้วว่าจะพูดเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง จากบทเรียนที่ผมเจอมา จะให้เขาได้รู้ว่าการใช้ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน

เด็กคนอื่นอาจถามแบบไม่รู้ความหมาย ไม่คิดอะไร แต่ลูกเราอาจจะคิด และอาจจำเรื่องที่มันไม่ดี ซึ่งจริงๆ เรซซิ่งพูดกับพวกเรานะว่าพ่อไปบำบัด ไม่ได้อยู่ในคุก ซึ่งก็อยากให้จำภาพดีๆ ของพ่อมากกว่า พอเกิดเรื่องแบบนี้เราจะบอกผู้ปกครองเขายังไงดี?
เบนซ์ : จริงๆ เราก็ห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่อย่างน้อยลองถามความรู้สึกตัวเองดู ถ้าเราเจอแบบนี้เราจะรู้สึกยังไง

ออกมาอย่างถาวรแล้ว น้องเรซซิ่งก็มีความเข้มแข็งของเขา ตอนนี้วางแผนอนาคตกับเรซซิ่งยังไง?
เบนซ์ : ตั้งแต่เจอกันวันนั้นผมก็ไม่สบาย เป็นไข้ ก็กลัวติดหวัดกันด้วย ทุกวันนี้วิดีโอคอลคุยกันทุกวัน เดี๋ยวหายป่วยแล้วจะนัดเวลามาเจอกันแล้วดูว่าเราจะแบ่งเวลากันยังไง ว่างตรงกันไหม เขาชอบอะไรจะพาไปเที่ยวไปอะไรกัน เขาชอบตรงไหนก็จะส่งเสริมเขา

มีอะไรอยากฝากถึงคนดูทางบ้านกับบทเรียนที่เราได้รับ?
เบนซ์ : ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้รับมากับตัว แต่ก่อนผมอาจทำธุรกิจตามแบบภาษาวัยรุ่น ไม่ได้คิดให้รอบคอบอะไร ใครอยากมาซื้อเราก็ขายหมด มันเลยทำให้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี เราก็ควรเลือกคบหาคน บางทีคนแต่งตัวดี มีเงิน แต่เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังเขาทำอะไร การที่เขามาซื้อรถกับเรา ไม่รู้เขาประกอบอาชีพอะไร การที่เขาถือครองทรัพย์สิน ไม่ได้โอนชื่อ เราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นคดีกับเรา เราก็ต้องใช้ชีวิตระมัดระวัง รอบคอบมากขึ้น และต้องรู้จักการรอคอย

อยากเตือนอะไรคนที่อยู่หรือเข้าวงการยาเสพติด?
เบนซ์ : ผมอยู่ในคุก บอกเลยว่ายาเสพติดเนี่ย ยังไงก็ไม่มีทางรอด ตำรวจไทยเก่งอยู่แล้ว ต่อให้วันนี้ไม่โดนจับ ยังไงวันหน้าก็ต้องโดน ถ้ารักชีวิต รักครอบครัว ไม่อยากสูญเสียอิสรภาพเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ก็ไปหาทำอย่างอื่นที่ถูกกฎหมายดีกว่า

คุณเป็นแบบนี้หรือไม่? ทำงานหนัก เครียด ทานสารพิษปนมากับอาหารทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ทุกวัน ทั้งหมูกระทะ ชานมไข่
ขอเแนะนำอาหารเสริมบำรุงตับฮอกเก๊ตไธโอน ที่ประกอบด้วยสมุนไพรหลักคือ ฮอกเก๊ตนามูจากเกาหลี ช่วยล้างสารพิษและบำรุงตับ อายุ35ปีขึ้นไป จำเป็นต้องทานวันละ1เม็ด เพราะตับเป็นอวัยวะที่รับของเสีย หากตับพังสุขภาพพัง
กดลิ้งค์รับข้อมูล อาหารเสริมบำรุงตับ จากเกาหลีเพิ่มเติ่มได้ที่ Link ด้านล่าง
https://www.tvpoolreward.com/salepageheokkaetioneoffice/contactpage
เพื่อสุขภาพผิวหน้าที่ดีเยี่ยม
ขอแนะนำ
โฟมล้างหน้า24พลัส หนึ่งเดียวที่มีเซรั่มสาหร่ายตัวท๊อป มาสต์ทิ้งไว้30วิ ป้องกันสิว
แล้วล้างออก เติมเซรั่มเข็มข้น 24พลัส ป้องกันเหี่ยว
หลังจากนั้นทาครีมกันแดด24พลัส ป้องกันแสงยูวีและแสงสีฟ้า
ใช้3ผลิตภัณฑ์นี้ ควบคู่ผิวหน้าของคุญจะเปลี่ยนไปทันทีที่ใช้ครั้งแรก ใช้ดีแล้วบอกต่อคนที่รัก
กดลิ้งค์รับข้อมูล โฟมเซรั่ม และครีมกันแดดและเซรั่มเข็มข้นเพิ่มเติ่มได้ที่ Link ด้านล่าง
https://24plusthailand.com/