ชาวต่างชาติทำอนาจารม้าท้องแก่ถึงในคอก ม้าถึงกับแท้งลูก

ความคืบหน้าฝรั่งวัยรุ่นนักท่องเที่ยว ลอบเข้ามากระทำอนาจารแม่ม้าในคอกเลี้ยงที่ จ.ภูเก็ต ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ไปพบ นายชัชโรจน์ เลขอาวุธ อายุ 50 ปี หรือ โกดำ เจ้าของคอกม้าที่ถูกชายชาวต่างชาติบุกเข้าไปทารุณกรรมม้าที่ชื่อ “องุ่น” เมื่อคืนวันที่ 5 ก.พ.67 และคืนวันที่ 10 มี.ค.67 โดยเป็นคอกม้าที่อยู่บนเนื้อที่หลายไร่ ทำคอกอย่างเป็นระบบและเป็นระเบียบ โดยมีพื้นที่ไว้ให้ม้าวิ่งออกกำลังกาย เจ้าของคอกดูแลม้าทุกตัวเป็นอย่างดี จากนั้นนายชัชโรจน์ได้พาไปดูม้าเพศเมียที่ถูกคนร้ายบุกเข้าทำการทารุณกรรม ซึ่งอยู่ในคอก เป็นม้าลูกผสม สีขาว อายุ 10 ปี

โกดำ เจ้าของคอกม้า กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ก.พ.67 ได้มีชายชาวต่างชาติคนดังกล่าวบุกเข้ามาที่คอกม้าและกระทำอนาจารม้าด้วยการล้วงเข้าไปที่อวัยวะเพศ ซึ่งตอนแรกไม่เคยรู้มาก่อนว่าองุ่นถูกกระทำอนาจาร เพราะตัวคอกอยู่หลังบ้าน โดยคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนม้ากระแทกกับผนัง จึงตื่นมาดูตอน 05.30 น. แล้วเดินไปที่คอก ตกใจว่าฝรั่งอยู่ในคอกม้าได้อย่างไร เพราะเป็นยามวิกาล จึงไล่ออกไป โดยฝรั่งคนดังกล่าวยังหันกลับมาถามตนเองว่า “มีม้าเด็กๆ มั้ย” แต่ตนไม่ได้สนใจ และไล่ให้ออกไปจากคอก จนกระทั่งมาดูกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ในคอก พบว่าชายหนุ่มชาวต่างชาติคนดังกล่าวมาตบลูกม้า และมีอุปกรณ์บางอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร นำมาทำร้ายม้า และล้วงอวัยวะเพศม้า

“เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรและจะทำอะไร แต่พฤติกรรมมันไม่ใช่เรื่องที่ดี จึงได้เข้าแจ้งความพร้อมรวบรวมหลักฐานต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ถลาง เพื่อดำเนินคดี แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ติดตามเรื่อง เนื่องจากยุ่งๆ เรื่องคุณแม่ จนเมื่อคืนวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกในคอกม้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เกิดกับแม่ม้าอีกตัว แต่ฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ซึ่งแม่ม้าตัวนี้เคยแท้งมาแล้วครั้งหนึ่ง ท้องได้ 6 เดือนแล้วแท้ง จากนั้นได้นำไปผสมใหม่ จนต้ังท้อง และเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ช่วงบ่าย 2 จึงพาแม่ม้าชื่อองุ่น ตัวที่ตั้งท้องไปเก็บในคอกหลังบ้าน จากนั้นเวลาราว 17.00 น. ได้ตื่นนอนแล้วพาองุ่นออกจากคอกมาเดินเล่น แต่สังเกตเห็นที่อวัยวะเพศมีคราบ และองุ่นมีอาการแปลกๆ จนไปดูกล้องวงจรปิดก็เห็นว่าฝรั่งคนดังกล่าวเข้ามาที่คอกม้าอีก โดยเข้ามาที่บริเวณหลังบ้านและมาทำอนาจารอีก โดยการเอามือล้วงเข้าไปในอวัยวะเพศ ซึ่งเราไม่รู้ว่าลูกม้าที่อยู่ในท้องจะได้รับอันตรายหรือติดเชื้อหรือไม่ ที่ผ่านมาใจเย็นมาโดยตลอด แต่จะไม่ยอมและไม่ทนให้ฝรั่งมาทำแบบนี้ จึงเข้าเร่งรัดคดีความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง และต้องขอขอบคุณมูลนิธิวอชด็อกประเทศไทย และสื่อมวลชนทุกแขนงที่ให้ความสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดคดีที่เกิดขึ้น”