เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ตร.หนองคายถึงมึน หลังจับหนุ่มใหญ่ชาวลาวขนแบงก์ดอลลาร์สหรัฐฯปลอม ทั้งฉบับละ 1ล้าน และ100ล้านดอลลาร์ รวม2.2พันล้านดอลฯ อ้างเพื่อนให้มาจำนำกับคนไทย เผยความผิดยังไม่สำเร็จ ดำเนินคดีไม่ได้ จนท.สหรัฐฯยืนยันแบงก์แพงสุดคือ 100ดอลลาร์

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 5 ก.ย.59 ที่ห้องสืบสวน กองกำกับการตำรวจภูธร จ.หนองคาย พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ รอง ผบก.ภ.จ.หนองคาย, พ.ต.ท.สุริยา บุญสิทธิ์ สว.ปฏิบัติหน้าที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย, เจ้าหน้าที่ ตม.หนองคาย, นรข.สถานีเรือหนองคาย ได้ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดธนบัตรดอลลาร์สหรัฐฯ ปลอม แยกเป็นฉบับละ 1 ล้านดอลลาร์ 200 ฉบับ, ฉบับละ 100 ล้านดอลลาร์ 5 ฉบับ, แผ่นเพลตทองเหลือง แผ่นละ 500 ดอลลาร์ 3 แผ่น, ตั๋วแลกเงิน ฉบับละ 100 ล้านดอลลาร์ 2 ฉบับ, โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง ธนบัตรทั้งหมดล้วนเป็นธนบัตรปลอม มูลค่าธนบัตรปลอมรวม 2,200 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 66,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก พ.ต.ท.สุริยา บุญสิทธิ์ สารวัตรสืบสวน ได้รับแจ้งจะมีกลุ่มพ่อค้าธนบัตรปลอมจากประเทศเพื่อนบ้าน นำธนบัตรปลอมมาส่งมอบกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในตัวเมืองหนองคาย จึงนำเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. วันเดียวกัน พบนายกองไซสี มุนทา อายุ 58 ปี ชาวเมืองสีสัดตะนาก แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว พร้อมธนบัตรปลอมทั้งหมดอยู่ภายในห้องพักของรีสอร์ต จึงคุมตัวมาสอบสวน

จากการสอบสวน นายกองไซสี ให้การว่า ได้รับธนบัตรดังกล่าวมาจากคนลาวชื่อ หล้า ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อน นำมาให้ที่เมืองหลวงน้ำทา ชายแดนลาวรอยต่อกับประเทศจีน บอกให้ตนนำมาจำนำกับคนไทย เป็นเงิน 5 ล้านบาท หากสามารถขายได้ก็ให้ผู้รับจำนำนำไปขายต่อ หรือหากถึงกำหนดแล้วไม่มาไถ่ถอนก็ให้ยึดเงินทั้งหมดไว้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธนบัตรทั้งหมดนี้เป็นธนบัตรปลอม ไม่สามารถใช้ได้จริง แม้ว่านายกองไซสี นำเข้าประเทศมาเพื่อจะนำมาขาย หรือจำนำ แต่ยังไม่มีผู้มารับซื้อไป จึงถือว่าความผิดยังไม่สำเร็จ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำทะเบียนประวัติบัญชีดำนายกองไซสีไว้แล้วจึงปล่อยตัวกลับประเทศไป โดยไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ ส่วนของกลางจะได้ส่งตำรวจสภ.เมืองหนองคายต่อไป

ขณะเดียวกัน จากการสอบถามไปทางเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ แจ้งว่า ตั้งแต่ตั้งประเทศสหรัฐอเมริกามา รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่เคยพิมพ์ธนบัตรที่มีมูลค่าเกินกว่าฉบับละ 100 ดอลลาร์ ดังนั้นธนบัตรดังกล่าว จึงไม่สามารถใช้ได้อย่างแน่นอน คนที่ทำขึ้นน่าจะทำขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น.

ที่มา – http://www.thairath.co.th/