ทนายตั้มได้ออกมาเล่าช่วงชีวิตของตัวเองว่าเจอกับอะไรมาบ้างถึงได้มาเป็นตัวเองในวันนี้ผ่านรายการ Level Up ทางยูทูบ THAIRATH Online Originals
โดยที่ ทนายตั้ม ได้ตอบคำถามของพิธีกรในรายการดังนี้
จากคนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ ทำไมถึงอยากเรียนกฎหมาย ?
“ตอนนั้นเรารู้จักกับคนที่เป็นตำรวจ เพราะบ้านอยู่ใกล้โรงพัก เราก็คิดว่าอยากเรียนกฎหมาย แต่เราคิดว่ามันยาก นิติศาสตร์ รามฯ มันยาก เราก็เลยสมัครคณะรัฐศาสตร์ก่อน สมัยนั้นแม่แยกกับพ่อ แล้วมาอยู่ทาวน์เฮ้าส์กับคุณแม่ เรารู้ว่าแม่ไม่ค่อยมีเงิน เราก็ใช้วิธีอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน มันมีจุดเปลี่ยนคือตอนนั้นอาผมที่เป็นตำรวจก็มาคุยกับผมว่าบรรดาญาติพี่น้อง พ่อเราคือไม่มีอะไรที่สุดแล้ว เราจะต้องเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อ ตั้งใจเรียน แล้วมาเป็นตำรวจแบบเขา เราก็คิดว่าเออ งั้นเราตั้งใจเรียนดีกว่า
แค่อยากทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ ก็เลยอ่านหนังสือทั้งวัน จบรัฐศาสตร์ใช้เวลาประมาณ 3 ปีเท่านั้นเอง เกรด 3 กว่า แต่ไม่ได้เกียรตินิยม แล้วทีนี้ไปตีแบดแถวบ้าน ก็มีพี่ที่เป็นตำรวจคนนึงเขามาตีแบดกับเราแล้วสนิทกัน เขาก็บอกว่าให้ไปเรียนนิติฯ ด้วยกันสิ เลยชวนกันไปเรียนที่รามฯ อีกใบนึง แล้วเทียบโอนมาเรียนนิติฯ เราจบนิติศาสตร์ก็ใช้เวลาอีก 1 ปีครึ่ง 2 ปริญญา ใช้เวลา 4 ปีครึ่ง”
แล้วตอนนั้นยังมีความคิดอยากเป็นตำรวจไหม ?
“ตอนนั้นพี่ที่เราสนิทด้วยเขาเป็นตำรวจอยู่แล้ว เขาบอกว่าเป็นตำรวจไม่ดี มันไม่ได้เป็นเจ้านายเหมือนสมัยก่อน ไปเป็นทนายดีกว่า พอจบมาเราก็เลยไปสอบตั๋วทนายความ ปีแรกเราก็ได้เลย เราก็เรียนเนติบัณฑิตด้วย ตอนนั้นก็สอบไปก่อน ขอให้ทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย พอจบเนติฯ เราใช้เวลา 1 ปีครึ่ง ได้ที่ 29 ของประเทศ ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ตอนแรกก็อยากเป็นหมดแหละ ทั้งศาล อัยการ แต่พอมาประกอบอาชีพทนายความแล้วรู้สึกชอบ ก็เป็นแบบนี้มาตลอดเลย
ผมก็ได้ไปฝึกกับลุงคนนึง เขาก็จะให้งานเรามาทำ ทนายใหม่ๆ ก็จะทำคดีที่ง่ายๆ ฝึกประมาณ 6 เดือน เราก็ร้อนวิชา แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่เก่งหรอก ก็ลาออกแล้วมาเปิดสำนักงานเอง ก็มาเช่าห้องตรงข้ามสถานีตำรวจเปิดสำนักงาน เราก็ติดชื่อเราใหญ่ๆ ว่าสำนักงานทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคนถูกจับเข้าคุก ญาติออกมาก็ต้องออกมาเห็นป้าย ก็ได้ผลครับ แล้วด้วยความที่เราสนิทกับตำรวจ พนักงานสอบสวน เวลามีเรื่องอะไรเขาก็จะแนะนำให้ปรึกษาทนายตั้ม ทำให้เรามีลูกค้าเยอะ”
คดีแรกในชีวิตที่ทำในฐานะเปิดสำนักงานทนายความ ?
“สมัยนั้นก็เป็นคดีผู้จัดการมรดกแหละครับ เราก็ทำคำร้องเป็นผู้จัดการมรดก ไปขึ้นศาลวันเดียวเสร็จ ถามว่าเคยเจอแบบที่คนทะเลาะเรื่องแย่งสมบัติมั้ย เยอะแยะ เราก็ต้องเรียกมาคุย หาตรงกลางให้ได้ว่าแบบไหนจะจบสวยที่สุด ตอนนั้นเราก็ทำทนายอาสา ให้คำปรึกษาฟรี คนก็มาปรึกษาเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนมีวันนึงลุงกับป้าที่เป็นพี่น้องทะเลาะกันมานานเรื่องที่ดินต่างๆ ผมก็ไปไกล่เกลี่ยให้เขาได้จนเขาดีกัน แล้วลุงที่มาปรึกษาผมก่อนเขาบอกว่าสมกับเป็นทนายของประชาชนจริงๆ ผมก็เฮ้ย คำนี้มันเท่ดี เราไปทำเสื้อดีไหม เลยสรุปตอนหลังเป็น ทนายประชาชน แทน”
คดีหวย 30 ล้าน ทำให้ชื่อของทนายตั้มอยู่ในทุกสื่อ เคสนี้มายังไง ?
“คือลุงจรูญเห็นโพสต์ของเราที่เคยช่วยคดีผัวเมียคู่นึงที่ขายลูกชิ้นแล้วถูกตำรวจกลั่นแกล้ง แล้วเราโพสต์ออกไป แล้วญาติๆ ลุงก็เห็นแล้วเขามีคดีแบบนี้พอดี ตอนนั้นเขามีปัญหากับทางตำรวจและครูปรีชา เพราะทางตำรวจเชื่อครูปรีชา เขาต้องการหาทนายความที่กล้าสู้ ตอนนั้นเขาไปดีเอสไอมาแล้วก็ไม่มีใครช่วยเหลือเขา
เขาก็มาหาที่สำนักงาน ตอนแรกเราก็เออ เรื่องจริงเหรอ ถามว่าตัดสินใจรับคดีนี้จากอะไร เราไม่ได้ตัดสินใจรับทันที หลังจากที่เขามาหาที่สำนักงาน เราก็แยกเลย เอาคุณลุงคุยสอบถามก่อน แล้วสอบถามคุณป้า ก็เออ เรื่องมันตรงกันนะ แล้วก็ถามลูกๆ เขา ลุงจรูญกับป้าเขาเป็นคนซื่อๆ แต่เราก็ยังไม่ได้เชื่อ ขอไปสืบอีกฝั่งหนึ่งหน่อย
ก็เลยไปหาครูปรีชาที่โรงเรียน ตอนนั้นเขาเริ่มระวังตัว เขาบอกว่าเขาเป็นคนบอกแม่ค้าเองว่าเขาขอซื้อเลข 726 ทางไลน์ เราก็บอกขอดูไลน์หน่อยได้ไหม เขาก็อิดเอื้อนไม่ให้ดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่ 726 ครับ เขาซื้อแค่ 2 ตัวคือ 16 คือเขาซื้อมาไม่ใช่ 726 เขาซื้อแล้วได้ลอตเตอรี่ไปแล้วด้วย ต้องย้อนกลับไปตอนจะทำคดี พอหวยออกแม่ค้าก็เฮ้ย หวยเคยอยู่แผงเรา ใครเป็นคนถูก เขาก็อยากให้คนที่ถูกเป็นลูกค้าประจำเขา ก็คือครูปรีชา
เขาก็โทรบอกว่าครูถูก ตอนแรกครูปฏิเสธ แต่ตอนหลังครูคิดว่าเขาเป็นคนซื้อจริงๆ เขาเริ่มคุยกับคนรอบข้างแล้ว ที่รู้เพราะได้ข้อมูลจากโทรศัพท์แล้ว ทุกครั้งที่เขาพูดคุย 4,000 กว่าคลิปผมฟังหมด เขาจะบอกว่าแม่ๆ วันนั้นเราใส่เสื้อตัวไหน ลองหาดู แล้วเริ่มคุยกับเพื่อนว่าซื้อลอตเตอรี่มาถูกนะ แต่ไม่รู้ยัยแม่ค้าให้ฉันมาหรือเปล่า
จนผ่านไปประมาณ 10 วัน เขาก็เริ่มตั้งสติได้แล้ว เขาก็ขอเงินเมียแสนนึง จะเอาไปให้ตำรวจเพื่อไปวิ่งเต้น เมียก็บอกว่าถ้าเราถูก ทำไมเราต้องเอาเงินไปให้ตำรวจด้วยล่ะ ครูปรีชาก็เลยสวนกลับมา “ก็เราไม่ถูกน่ะสิ ถ้าถูก ลอตเตอรี่ต้องอยู่กับเรา แต่เราต้องทำให้เหมือนถูก” คือมันมีคลิปเสียงอยู่ไงครับ นี่คือหลักฐาน เราถึงรู้ว่าเป็นแบบนี้นี่เอง เราถึงสู้คดีให้ลุงจรูญมาจนชนะคดีนี่แหละ”
จากทนายประชาชน ชื่อของทนายตั้มก็ขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นของประเทศ กลายเป็นทนายดัง ทนายเซเลบ ชีวิตเราเป็นแบบนั้นจริงไหม ?
“จริงครับ ชีวิตเราเปลี่ยนเลย ปกติเจอลูกความเราคุยเอง ตอนนี้จะต้องผ่านเลขาฯ เพราะว่าส่วนหนึ่งคดีมันเยอะมากจริงๆ ครับ ที่เราเปิดสำนักงาน Sittra Law Firm เราก็ไม่ใส่เสื้อยืดแล้ว เพราะเราทำงานกลางกรุงที่สาทร แถลงข่าวเราต้องใส่สูท เคสมาเยอะมากครับ”
กลายเป็นทนายคนแรกๆ ที่จะถูกเชิญไปออกทีวีแต่ละช่อง ตอนนั้นรู้สึกยังไง สมความตั้งใจที่อยากสร้างหน้าตาให้ครอบครัวไหม ?
“โอ้โห ก็รู้สึกลอยเลยครับเวลาไปไหนครับ เป็นคนดังมีคนมาทักทายตลอด ส่วนนึงก็ทำให้เราเปลี่ยนไป เราเริ่มเห็นเงินเป็นเรื่องสำคัญแล้ว ใช้ของราคาแพงๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่สามารถซื้อได้ มันก็เอามาสนองความต้องการของเราที่เราไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เรายิ่งห่างกับประชาชนไปเยอะขึ้น”
มีฟีดแบ็กจากคนรอบข้างไหม ?
“คนรอบข้างก็มีนะครับ เขารู้ว่าเราเติบโตไปอีกระดับ แต่เพื่อนของเราจริงๆ มันเริ่มหายแล้ว เพราะว่าช่องห่างเริ่มห่างกันเยอะครับ เพื่อนที่เมื่อก่อนสนิทกับเราจริงๆ ก็เริ่มห่าง เราก็เริ่มคบคนระดับผู้ใหญ่ ความจริงใจก็เริ่มน้อยลง มันไม่เหมือนเพื่อนที่เราสนิทมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ พูดถึงเงินไม่ใช่หลักหมื่นแต่เป็นหลักแสนหลักล้าน หลังจากดังแค่คุยโทรศัพท์ครึ่ง ชม. 1,500 บาท ถ้าไปเจอตัวที่สำนักงาน 3,000 บาท ว่าความแล้วแต่เคสเลยครับ ก็เป็นหลักแสนเลยครับ”
เคยรับลูกความผิดไหม หมายถึงพลาด ?
“มี คดีดังด้วย (หัวเราะ) คือคดีกกกอก คือผมจะบอกว่าตำรวจไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่ลงมาดูคดีนั้น เราก็คิดว่ามั่นใจว่าถ้าเราเป็นทนายความเอง เราต้องชนะคดีแน่นอน เราก็ไปตามสืบก่อนครับ ก่อนหน้านี้เราตั้งไว้ 3 ข้อ อย่างแรกไปตรวจสอบพยาน แล้วผมไปดูที่เกิดเหตุ อีกอันนึงผมจำไม่ได้แล้ว ถ้าผ่าน 3 ข้อนี้ผมจะเป็นทนายให้ แล้วปรากฏว่ามันก็ผ่าน ก็เลยเป็นทนายให้ ก็คิดว่าลุงเขาเนี่ยเป็นคนดี
ตอนนั้นไม่ได้ตังค์เลยครับ ไม่ได้รับเงินเลยครับ เพราะว่าเรื่องนี้หมอปลาเขามาฝากฝังไว้ แล้วพอมาฝากเสร็จเขาก็ไปเลย เพราะเขาไม่ถูกกัน เราก็อ้าว ตายแล้ว กูเป็นทนายอยู่ในคดี แล้วเราจะทำยังไงดี เราก็ต้องทำต่อไป เราก็ไปหาหลักฐาน เดินขึ้นเขาเลยครับ ไปดูว่าเด็กสามารถปีนได้หรือเปล่า ปรากฏว่าเด็กไม่สามารถปีนได้ (หัวเราะ) เป็นไปไม่ได้ที่จะปีนขึ้นไปเอง
เราก็คุยกับเขา เห็นอะไรในตัวเขาบางอย่างมันแปลกๆ แต่เราไม่ฉุกคิด แต่ตอนหลังเราตัดสินใจไม่รับทำคดีให้เขาดีกว่า ถามว่าอะไรที่เป็นจุดที่ทำให้ไม่เอาดีกว่า คือเขามีเอฟซี แล้วเอฟซีก็จุนเจือเขา แต่เราเนี่ยไม่รับการจุนเจือนะ เราบอกว่าเคสนี้เราใช้มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนช่วย เราไม่เอาตังค์
แต่เวลาเขาไปพูดกับเอฟซี เขาไปพูดให้คนเข้าใจผิดว่าเขาเสียเงินค่าทนายเยอะ เขาไปดราม่าเพื่อเอาเงินบริจาคไงครับ แต่มันทำให้เราเสียหายเพราะว่าเราไปเนี่ย เสียค่าเครื่องบิน ค่ารถ ค่ากินเขาเลี้ยง แต่ว่าค่าโรงแรมเราเป็นคนออกหมด คุณไม่ได้มาจ่ายให้เราเลยครั้งละ 4-5 หมื่นที่ไป ค่าทนายไม่ได้คิดด้วย แล้วเราออกเองอีก แต่มาพูดให้คนเขาเข้าใจเราผิด
เราก็เลยไม่ทำแล้ว ตอนนั้นเขาก็มีออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทนายตั้มต้องเข้มแข็งอะไรสักอย่าง ผมก็เข้มแข็งอะไร ก็มึงนั่นแหละ (หัวเราะ) ก็เลยเดินออกมา ตอนนั้นทั้งที่เรามั่นใจว่าถ้าเราทำเนี่ยชนะได้ รู้สึกดีใจที่เดินออกมาแล้วหลุดจากคนแบบนี้ เพราะตอนแรกเราเห็นเขาเป็นชาวบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่พอมาทำกับเราแบบนี้ เราก็เออ เรื่องของมึง ไปลุ้นเอาเอง บายดีกว่า”
ข่าวที่น่าสนใจ
เซ็กซี่ ขยี้ใจ โบว์ เบญจวรรณ จัดชุดว่ายน้ำรัวๆ
“ก้อง ห้วยไร่” เคลื่อนไหว!! หลัง “โน้ส อุดม” เจอดราม่าเดือด ลั่น เบอร์ใหญ่เอาทัวร์ไปหมดแล้ว ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเปิด!!
by TVPOOL ONLINE