เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ล่าสุดมีโอกาสเจอ บิ๊ก ทองภูมิ ที่งาน CHUCHAI DIAMOND x EMPORIUM พร้อมทั้งเปิดใจครั้งแรก หลังออกมาจากบ้าน ประกาศยุติการทำงานกับค่าย “Luster Entertainment” ก่อนที่ต่อมาคู่กรณี ออกมาแฉกลับ พร้อมเปิดจำนวนเงินที่เคยให้ จนเป็นดราม่าขึ้น

“เอาจริงๆ โดยเนื้อใจของเรา เราเป็นคนที่ทำงานหรือทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็สละเพื่อผลประโยชน์ของคนรอบข้างเสมอ ไม่ได้คิดถึงปริมาณหรือจำนวนเงิน หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำงานเราก็ยังทำเพื่อผู้อื่นเสมอ ที่เหลือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยังคงเดินหน้าเดินต่อไป”

จุดแตกหักคืออะไร?
“จริงๆเรื่องนี้เราไม่อยากพูดแล้ว สิ่งที่เราพิมพ์ไปมันน่าจะชัดเจนแล้ว และอีกอย่างนึง บางอย่างเราก็รู้อยู่ว่ามันไม่สามารถพูดทุกอย่างได้หมด เพราะจริงๆแล้วต่อให้เราพูดความจริงไป แต่ว่าคนอื่น แม้กระทั่งเป็นเรื่องจริง ผมขอไม่พูด เพราะว่าเราเองก็รักทุกคน ทุกคนก็มีหัวใจ คือจริงอยู่ว่ายานี้เป็นยาแก้อักเสบ คิดว่าเราใช้แล้วจะหาย แต่ถ้ามันทำให้ร่างกายบางคนรับไม่ไหวเจ็บปวด แม้ว่าจะเป็นยาก็เหอะเราก็ไม่ควรแล้ว เราก็เลือกทางที่สงบร่มเย็น แล้วจริงๆแล้วชีวิตเราค่อนข้างสมถะสันโดษสงบร่มเย็นแล้วก็เป็นคนร่าเริง”

แล้วหลังจากออกมาเรื่องเงินเรื่องของเรื่องสินค้าเราติดใจอะไรบ้างไหม?
“คือตอนนี้ผมละทิ้งหมดนะ ผมไม่คิดว่าผมจะไปเอาอะไร เพราะว่าคือของพวกเนี่ย ผมรู้สึกว่าผมหาใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเรื่องของสินค้า คือถ้าตายมันก็ต้องทิ้งหมด ใครอยากได้อะไรเราก็ให้หมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”

การออกมามันจบไหม ได้มีการถามถึงหรืออะไรอีกไหม?
“คือผมมีความรักความปรารถนาดีให้กับทุกคนเสมอ แต่คือทุกอย่างมันก็เรียกว่าเราเองก็เต็มที่แล้วก็ทำให้ดีที่สุด อย่างวันนี้แฟชั่นโชว์เราก็ทำให้ดีที่สุด เราก็ทำอะไรแล้วก็ทำให้ดีที่สุดเสมอ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่เสียใจ แต่ว่าความรักความปรารถนาดีที่เรามีให้ทุกคนเสมอ เมื่อชีวิตใครเกิดปัญหาและยินดีให้ความช่วยเหลือในทุกๆด้านเพราะฉะนั้นเราก็แฮปปี้ตลอด”

ในวันที่เราออกมา มาแต่ตัวอย่างเดียวไม่ได้หยิบของอะไรมาเลย?
“โหไม่มีครับ เดินขาเปล่ามาเลย มาจากป่า (แต่ว่ากีตาร์เรายังอยู่บ้านเขา?) นี่รู้จริงนี่หว่า (10 ตัวหรือเปล่า?) นี่รู้จริงอีกนี่หว่า ผมไม่ได้พูดนะ ทุกวันนี้ก็เลยเดินเอาไง มานี่ก็นั่งแกร็บมา บางทีก็นั่งกะพริบตาปริบๆ”

แล้วไม่เสียดายหรอ เพราะว่ามันก็คือสิ่งที่ใช้ในงานดนตรีของเรา?
“มันคือมันไม่ได้มีแค่นั้น มันมีเยอะแยะเลย มีรถด้วย หลายอย่าง แต่เราก็ไม่ซีเรียสหรอก สุดท้ายของนอกกายช่างมันเถอะ เรารักษาร่างกายจิตใจของเราให้สงบร่มเย็นก็โอเคแล้ว เราก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับใคร ใครอยากได้อะไรก็ให้เค้าไป เค้าอยากได้อะไรก็ให้เค้าไป ก็จบ จบที่เรา”

และการที่เราไม่ได้ออกมาพูดมันทำให้คนเข้าใจผิด?
“ไม่เป็นไร คือถ้าถามผมนะ ต่อให้ทุกคนเข้าใจไปทางA จากความจริงคือ Z แล้วไม่มีใครฟังเลย ผมก็ไม่ได้แคร์ เพราะว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากผลของการกระทำ มันไม่ได้เกิดจากคำพูดคนหรอก ซึ่งผมเองยังคงถือศีลธรรมอย่างครบครัน เราก็ยังปฏิบัติเข้าวัด ของเราสวดมนต์ภาวนาในการทำงานทำมงคล 38 ประการ ดูแลบิดามารดา จริงๆบวชไปแล้ว ที่เราสึกก็คือออกมาเพื่อมาเลี้ยงแม่เรา ไม่งั้นเราก็บวชต่อไปแล้ว เราก็ออกมาทำงานสุจริตเงินไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อยเราก็ทำเราไม่แคร์เลย เราไม่ได้สนใจอะไรแล้ว”

ตอนนี้คือชีวิตเหมือนต้องมาเริ่มใหม่ใช่ไหม?
“ติดลบ เราเป็นคนทนไม่ไหว สมมติว่าเรามีเงิน 7000 บาทแต่มีคนกำลังจะตาย เขามาขอ 4000 เรายกให้เลย คือทั้งๆที่พรุ่งนี้เราไม่รู้ว่าจะมีอะไรหรือเปล่า บางทีเราเคยมี 70 บาท เค้ามาขอ 200 เราบอกเราไม่มี เราให้ไป 40 เหลือ 30 แล้วมาด่าเราว่าเราไม่ให้ ก็มี เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วเค้ามาด่าเราก็เท่านั้น เพราะความจริงอ่ะเรารู้ว่าเรามีเท่าไหร่เราให้เท่าไหร่แล้วเรารู้สึกว่ามันพอดี มันก็อิ่มใจในความสุขของเรา คราวนี้อะไรต่างๆอยู่ภายนอกของผู้อื่น ที่เราบังคับไม่ได้ มันก็เป็นปัจจัยของคนภายนอก มันอยู่นอกใจเรา เราไม่สามารถบังคับได้หรอก ว่าจะไปอยู่ตรงไหน ประกอบอาชีพอะไร ก็เคยมีเรื่องก่อนหน้านี้ เรื่องละคร คือเราก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถึงเวลาเราก็เป็นคนที่ขอยกมือยอม เพื่อประโยชน์สูงแก่ประชาชน หรือคนรอบตัว แก่ทุกคน ถ้าเราสละซะก็จบ เหมือนน้ำมันหก มัวแต่ด่ากันมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่พอเราไปเช็ด มันก็มีคนด่าว่า แสดงว่ามึงเป็นคนทำหก คือเราไม่ได้ทำผมแค่รู้สึกว่าเราเช็ดแล้วทุกอย่างมันก็จะเดินต่อไปได้ แล้วก็เช็ด”

น้อยใจไหม ที่โดนแบบนี้ ทั้งที่ผ่านมาที่เราทำความดี พาเค้าไปหาหมอ ไปนู่นไปนี่ ?
“คือไม่น้อยใจเลย เพราะว่าในคุณความดีที่เราต้องทำ เราก็ต้องทำอยู่แล้ว แต่ผลจะเป็นยังไงก็เรื่องของผล แต่ในเรื่องของเหตุอ่ะเราสร้างไว้แล้วเราดูแลรักษา เราหน้าที่ประพฤติธรรมของเราอยู่แล้ว ในการดูแลผู้อื่น มันไม่เป็นปัญหาเลย”

แล้วแต่ละโพสต์ของเขามันกระทบจิตใจเราไหม?
“ไม่ เรามีความสุข เราไม่ได้มองอะไรเลย เพราะว่าถ้าเราตื่นมา เรามีหน้าที่อะไร เราก็ทำเท่านั้นเอง วันนึงมีคนด่ากันสองคน ใครก็ไม่รู้ เราไม่มีความจำเป็นต้องไปอะไรกับคนเค้าทะเลาะกัน แบบนี้ใครทำอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเขา“

แล้วสภาพจิตใจเข้มแข็งพอที่จะรับอะไรทุกอย่างใช่ไหม?
“คือไม่มีอะไรเลย เรื่องไม่มีอะไรต่อสภาพจิตใจทั้งสิ้น เราเองรู้สึกว่าเต็มอิ่มในความสุขของเราและยินดีแผ่ให้กับทุกคน รวมถึงผู้คนต่างๆที่มีความทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้นมีปัญหาอะไรบอก เรายินดีช่วย”

“แล้วทราบไหม เหตุผลอะไรที่เขาไม่ให้ของเราคืนคือไม่รู้ ซึ่งมันเป็นของเราจริงๆ คือมันเป็นทรัพย์สินที่เราเป็นคนซื้อ (เพื่อใช้ในการไปแสดง?) ใช่ รถของเราที่เราเป็นคนซื้อ”

เขาให้เหตุผลไหมว่าทำไมถึงไม่ให้คืน?
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าทีมเขาก็บอกว่า ไม่ได้รับอนุญาต คือจริงๆแล้วมันมีหลายคนที่ต้องการจะจัดการอะไรให้เรา ซึ่งเราบอกว่าเราไม่เอา เหตุผลเพราะว่าต่อให้ถูกต้อง แต่เบียดเบียนคนอื่น เราไม่เอา แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้ามันไปเกิดเป็นความทุกข์ของคนอื่นเราไม่ทำ คือมีคนบอกให้เราไปถึงแจ้งความ เราไม่แจ้ง สาบาน คือตำรวจพร้อมมากเลย เราก็บอกไม่ เราขออภัยทาน คือคนเราทุกคนหรือพวกเราเอง มีความเจ็บปวดทุกคนนะ ถ้าสิ่งที่เราทำสามารถทำให้จิตใจสงบร่มเย็นได้เรายินดี แม้ว่าต้องเสียอะไรของตัวเอง ซึ่งมีหน้าที่สละละตัวตนหรือความเห็นแก่ตัวอยู่แล้วนิ ถ้าไม่คืนเราก็เอาไปเหอะไม่เป็นไร”

กลัวเขาฟ้องไหม?
“ไม่กลัว ก็ในเมื่อมันคือความจริงจะไปกลัวอะไรแต่ผมแค่ไม่ได้ออกมาพูดเท่านั้นเอง ถ้าผมอยากพูดพูดแล้วมันไม่จบ คือเรารู้เราตัดผมยาวสั้นเท่าไหร่เรารู้สิ่งที่เราทำเรารู้อยู่แล้ว คือถ้าทุกคนทำชั่วมันก็จะอยู่ไม่สุขแล้ว แต่เรายังสบาย เราไม่ได้ทำอะไรก็ไม่รู้จะทุกข์ไปทำไม”

ได้อ่านคอมเมนต์ต่างๆไหม?
“เห็น คือโอเค มันธรรมชาติของโลก มีคนด่าคนชมมีคนเกลียด เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งนั้นคือธรรมชาติของโลก ที่คนจะต้องเจอ แต่สิ่งที่สำคัญคือแต่ละวัน เราเข้าวัดปฎิบัติธรรม ศีลเรารักษาไว้ ในเมื่อมันบอกว่าเรื่องเงินหรือเรื่องอะไร แต่เราไม่ได้ประพฤติผิดในข้อลักทรัพย์ เราไม่มีความต้องการ ไม่งั้นทุกวันนี้เราจะบริจาคของทำไม ในเมื่อเราต้องการเงินถูกมั้ย? ”

แล้วอันนี้คือแตกหักหรือแค่งอน?
“ไม่รู้คือถ้าถามผมนะ ผมอ่ะเป็นคนที่ให้อภัยคนทุก แต่เราอ่ะพิจารณาด้วยปัญญาว่าเราอยู่ตรงไหนเหมือนไฟ มันอยู่ตรงนี้เราเดินไปอะเราเดินได้ แต่ถ้ามันไหม้เมื่อไหร่ เราก็ต้องเดินออก เพราะฉะนั้นเราจะรู้ระยะว่าอยู่เท่านี้แล้วเราจะไม่ไหม้แค่นั้นเอง ”

เหมือนโพสต์บางโพสต์ เขาก็เหมือนจะยังคิดถึงอยากให้กลับมา?
“ผมเข้าใจนะ คือจะหาคนสักคนนึงที่เสียสละทำงานทำการต่างๆโดยที่ไม่ได้นึกถึงผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง คือเรานึกถึงเรื่องของความสงบสุข ณ ตอนนั้น ว่ามันมีปัญหาอะไร เราก็พร้อมแก้หมด เหมือนกัน เวลาเราถ่ายละคร เวลาที่เรามีเรื่องราวอะไร ทีมไฟไม่พอเราก็ไปยกได้ เพราะเราไม่ได้มีหรือถืออัตตามานะตัวตนอะไร”

หากย้อนกลับไปเราจะเลือกเดินเข้าไปไหม?
“คือตอนนี้ผมก็ทำงานตามปกตินะ ผมเขียนเพลงเพื่อทำงานปกติ ผมอยู่ตรงไหนก็ได้ที่ผมปลอดภัยและมีความสุขอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าเราอยู่ที่ไหนแล้วเราไม่มีความสุขมันก็ไม่ไหว ตอนนี้ยังเข้าบ้านไม่ได้เลย กลับไปแม่งของกู.. ทำไมบ้านสะอาดจังวะ คือไม่โกรธหรอก ให้อภัย ล้านเปอร์เซ็นต์ คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราเข้าใจว่าคุณไม่สบาย แล้วเราเข้าใจว่าเหตุเป็นอย่างนี้ เข้าใจทั้งหมด ซึ่งเรารับได้ เราก็ไม่โกรธเลย แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เผชิญอยู่

คือคนล้อมรอบตรงนั้นน่ะ ก็เห็นว่าเขารักเรากันหมด มีแต่คนส่งข่าวมา เขาก็รักเราหมด แล้วก็ตั้งแต่ที่เราทำงานก็มีแต่คนมาขอบคุณเราทั้งนั้น คือจริงๆเราก็ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้น มีปัญหาเราช่วยได้ก็ช่วย คือถามว่าเป็นห่วงไหม จริงๆเราเป็นคนที่เป็นห่วงทุกคน คือเราเป็นแบบนี้อยู่แล้วใครก็ตาม มันเป็นธรรมชาติของเรา”

แล้วถ้าเค้าอารมณ์เย็น เราคิดว่าจะกลับไปพูดคุยไหม?
“แล้วก็เห็นเขาเป็นแบบนี้มาไม่เห็นมีใครคุยกับเขาได้เลยนอกจากมีเราคนเดียว ไม่มีปรับความเข้าใจหรอก เพราะว่าเขาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง คือมันไม่ได้อยู่ในจุดที่สติสัมปชัญญะ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าสติสัมปชัญญะครบ 100 เปอร์เซ็นต์ โอเคเข้าใจ ไม่เป็นไร เราก็แยกย้ายกันรักษาตัวรักษาใจของตัวเอง แต่จริงๆก็ไม่ได้มีปัญหากับเขา แล้วก็กับใครก็ตาม”

อบอุ่นหัวใจ! ‘กวาง กมลชนก’ เผยภาพครอบครัวพร้อมหน้าในรอบหลายปี

“แพท ณปภา” สวยแซ่บฉีกกระแสชุดผีเสื้อ AI จัดชุดจริงสุดอลังการ สามีเห็นแล้วอึ้ง!

by TVPOOL ONLINE