เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ ถึงการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เมื่อวานนี้ที่นายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าพรรคร่วมฯ เพื่อปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังมีคลิปเสียงพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปฏิญญาโรสวูดนี้ พอประชุมเสร็จแล้ว แกนนำพรรคการเมืองก็ทยอยขึ้นรถกลับบ้าน ทำให้ตนนึกถึงปฏิญญาคอนราด สมัยจัดตั้งรัฐบาล ตนมองว่าสถานการณ์ขณะนี้ นายกรัฐมนตรี “ยิ่งสู้ ยิ่งเล็ก” ยิ่งโดนเพื่อนขี่คอ

เรื่องคลิปเสียง ปกติแล้วจะต้องมีล่ามแปลภาษาทั้งสองฝ่าย ต่อให้จะรู้จักภาษาที่สามดีก็ตาม เพื่อจะได้รู้ความหมายที่แท้จริง ในกรณีที่แปลไม่ครบ เพราะผู้นำจะต้องรับผิดชอบ อธิปไตยเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้ หากลุกลามไปแล้วเมื่อมีอุบัติเหตุจะรับผิดชอบไม่ไหว ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือต้องลดการยั่วยุ พอปะทะกันแล้วมีผู้สูญเสียชีวิตจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากขึ้น ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะที่ทั้งเขาและเราไม่สามารถมีสงครามได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนอกอาเซียน เกิดที่อิหร่าน จะทำให้ไทยและกัมพูชาไม่ไหว

เราเห็นกันอยู่ว่าน้ำมันไทยเป็นก้อนใหญ่ที่ส่งออกไปที่กัมพูชา 60-70% ประจวบกับอิหร่านปิดช่องแคบพอดี เงินเฟ้อในกัมพูชาก็พุ่งสูงมากขึ้นทำให้พี่น้องประชาชนกัมพูชาเดือดร้อน ขณะที่ไทยส่งออกน้ำมันไปแค่ 10% ไปที่กัมพูชาเท่านั้น มันเจ็บปวดไม่เท่ากัน แต่ก็เจ็บปวดเหมือนกัน จึงอยากช่วยเตือนสติว่าไม่มีใครได้ผลประโยชน์จากการมีสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิไหน สงครามทหาร หรือสงครามจิตวิทยา สงครามประสาท อย่างน้อยพูดคุยไม่ต้องให้ได้

ยกตัวอย่างใน ปี ค.ศ. 2003 ในการประชุมอาเซียนประเทศกัมพูชา มีข้อสรุปว่าหากมีปัญหาเรื่องความมั่นคงให้เรามาหาข้อสรุปกันด้วยไมตรีจิต ถึงอยากช่วยเตือนสติทั้งรัฐบาลกัมพูชา พี่น้องกัมพูชา และประเทศไทย ว่าเราสามารถถอนฟืนออกจากกองไฟได้ ความกล้าหาญที่อยากจะสร้างตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนรุ่นใหม่ มันสร้างได้โดยสันติภาพไม่ใช่สงคราม

ท่านฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เท่าที่ผมศึกษาดูท่านก็เป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่สามารถจะมีบารมีได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งจากคุณพ่อ สามารถทำในสิ่งที่คุณพ่อทำไม่ได้คือทำให้เกิดสันติภาพ ก็อยากจะชวนกันส่งสารไปถึง อย่าลืมนะ คุณก็มีความสามารถพอที่จะมีบารมีของตัวเองโดยไม่ต้องสร้างชาตินิยมจากทั้งสองฝ่าย

ในสถานการณ์ตอนนี้มีเครื่องมือให้ใช้ได้อยู่ 3-4 อย่าง เครื่องมือทางการทูต เครื่องมือทางทหาร เครื่องมือทางเศรษฐกิจ และเครื่องมือทางข้อมูลข่าวสาร เครื่องมือที่ใครใช้ก่อนแพ้เลยคือทหาร ถ้าเราเริ่ม กัมพูชาฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เลย นายฮุน มาเนต บอกว่ามีแต่โจรที่กลัวศาล แล้วเรายังมาใช้สงครามทำร้ายกัมพูชาอีก ไทยจะแพ้เลย และถ้าเราย้อนกลับไป กัมพูชาไม่ได้มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านแค่ประเทศไทย มีปัญหากับลาวและเวียดนามด้วย เพราะฉะนั้น ตนอยากแสดงให้เห็นว่าใครใช้กำลังทางทหารก่อนแพ้

แนะนำว่า ต้องใช้การทูตเชิงรุก ไม่ใช่ยิ่งลดระดับทางการทูต ต้องออกสื่อต่างประเทศเยอะๆ ว่าไทยไม่ไปศาลโลกเพราะอะไร นายกรัฐมนตรีจะต้องออกเดินสายไปออกข่าว เหมือนที่สมเด็จฮุน เซน ไปจับมือกับรัฐมนตรีมาเลเซียแล้ว

ต้องไปล็อบบี้เลย ขอให้มาเลเซียช่วยจบที่วงประชุม JBC เถอะ กัมพูชามี International Narrative มีเรื่องเล่าให้ต่างประเทศ ถ้าเราถามสื่อกัมพูชาว่ากัมพูชาต้องการอะไร จะตอบได้ว่าจบภายในศาลโลก แต่ไทยยังตอบไม่ได้ว่าจะจบที่อะไร ต้องบอกว่าเรามีวิธีการทางสากล เพื่อบ่งบอกว่าเราไม่ได้พ่ายแพ้ทางสมรภูมิทหารหรือเศรษฐกิจ ตอนนี้เราแพ้ที่สมรภูมิข่าวสารและเรื่องเล่า เพราะฉะนั้น การทูตเชิงรุกยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ ไม่ใช่ลดระดับ

ที่ผ่านมาเราช้ากว่าสถานการณ์ไปเยอะ มันไม่มีคำว่าสายเกินไป สำหรับการรักษาสันติภาพ ควรจะเริ่มใช้ตั้งแต่ตอนนี้ เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีบริหารการเมืองภายในประเทศเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาต่างประเทศ ต้องหาสมดุลให้เจอระหว่างชาตินิยมกับความเป็นพลเมืองโลก ตนรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีกับรัฐบาลมี Blackmail Diplomacy (การทูตโดยใช้การขู่เข็ญ) ปักหลังอยู่ ทำให้ดำเนินการได้ไม่เต็มที่ เช่น เรื่องการปิดด่าน ต้องเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงกว่าเรื่องความมั่นคง พร้อมทั้งข้อสงสัยว่าเป็นเพราะ Blackmail Diplomacy ใช่หรือไม่ ถึงไม่ออกแอ็กชันอะไรเลย

มีวิธีการคือ ต้องอธิบายนานาชาติว่าเรื่องคอลเซ็นเตอร์กระทบกับประเทศไทย ไม่ได้เจาะจงประเทศใดประเทศหนึ่ง มีทั้งเพื่อนบ้านเราหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบ ต้องแก้กันทีเดียว ไม่ใช่ต้องการจะตอบโต้ประเทศใดประเทศหนึ่ง พร้อมแนะนำให้คุยกับนายฮุน มาเนต โดยตรง เพราะเป็นผู้มีอำนาจ

“Blackmail Diplomacy เกิดขึ้นได้หลายครั้ง จึงต้องมีพิธีกาาทางการทูตกัน เมื่อขู่ได้ครั้งที่ 1 ก็มีครั้งที่ 2-4 เราต้องอธิบายว่าการทำแบบ Blackmail ผลเสียไม่ได้มีแค่แพทองธาร ใครที่จะเจรจากับกัมพูชาต่อไป มันทำให้เครดิตของเขาสูญเสียไปด้วยเช่นเดียวกัน การทำแบบนี้ไม่ควรที่จะทำกับใครในความเป็นจริง แต่พอทำแบบนี้มีต้นทุนที่ต้องจ่ายทั้งคู่ คนเป็นผู้นำประเทศต้องคิดไว้เลยว่ามีสิทธิ์ที่จะโดนอัด ผ่านกล้องเล็กๆ ที่สำคัญ จะต้องตั้งไข่ให้ชัดว่าต้องตัดความสัมพันธ์ส่วนตัว มีความเป็นมืออาชีพตั้งแต่แรก เหมือนที่ผู้นำจีนพูดว่าอย่าเอาบุญคุณส่วนตัวมาตอบแทนด้วยประเทศ เลยเจอคุณฮุน เซนพูดประโยคเด็ดขึ้นมาว่าสงสารหลานนะ แต่ไม่สามารถเอามาแลกกับประเทศได้ พอเขาพูดแบบนี้เราก็จุก

เรื่องพวกนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือ ความชอบธรรม และทำให้ภาวะผู้นำของเราลดลง ซึ่งติดลบมาแล้วจากรัฐบาลข้ามขั้ว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ยิ่งสู้ ยิ่งอ่อนแรง จะกลายเป็นซื้องูเห่ากันเข้มข้น พร้อมแนะนำรัฐบาลว่าน่าจะเดินเรื่องที่คนไทยได้ประโยชน์ 4 เรื่อง คือเรื่อง สแกมเมอร์ , PM 2.5 , เหมืองเถื่อน และการฆ่าผู่เห็นต่างข้ามประเทศ ซึ่งสหประชาชาติก็กำลังเดินเรื่องนี้ จะทำให้กัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจามากขึ้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูน้อยอารมณ์ดี! “น้องสเปซ” หัวเราะชอบใจ เมื่อถูกพ่อเป็กฟัดแก้ม น่ารัก น่ามันเขี้ยวสุดๆ

ดีต่อใจแฟนคลับ 20 ปี “อั้ม-เมย์” เปิดใจถึงกันและกัน

 

 

by TVPOOL ONLINE