21 สิงหาคม 2568 – เมื่อเวลา 15.15 น. ที่รัฐสภา พรรคฝ่ายค้าน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร , นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ,นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย , น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย สส.ของทั้ง 2 พรรค ร่วมแถลงกรณีถึงกรณีที่นายไชยา พรหมา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม สั่งปิดประชุมกะทันหัน ก่อนเข้าสู่วาระประชุม เพื่อพิจารณาญัตติด่วน เพื่อขอให้สภาฯ พิจารณาบันทึกความเข้าใจ MOU 43-44 ที่นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอ
โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ฝั่งรัฐบาลมีการชิงประชุมไปเสียก่อน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์ล่าสุดในวันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อตกลงที่ฝั่งวิปได้มีการพูดคุยกันทั้งสองฝั่ง ขณะที่ประชาชนกำลังส่งเสียงเรียกร้อง อยากจะให้สภาฯ ของพวกเรา เป็นพื้นที่แห่งความหวังในการหาทางออก เรื่องการศึกษาปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และ MOU 43-44 มีประชาชนรอฟังเสียงจากสภาฯ อยู่ภายนอกของสภาฯ แต่รัฐบาลกลับไม่ให้พื้นที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุด ให้พวกเราหารือกันในวันนี้
ทั้งยังซ้ำรอยกับกรณีเมื่อวานนี้ ที่มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งคุยกันก่อนหน้านั้น ว่าจะพิจารณาให้เสร็จ แต่ก็ชิงปิดไปก่อนเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่ไม่อยากเห็น เพราะว่ารัฐบาลขาดเสถียรภาพ เสียงปริ่มน้ำ และไม่สามารถหาทางออกให้กับประชาชนได้
ขนาดโพลที่ออกมาล่าสุด ก็ส่งเสียงสะท้อนว่า ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของนักการเมือง สิ่งที่พวกเราต้องแสดงออกอย่างยิ่งในวันนี้ คือต้องทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น และเห็นว่ารัฐสภายังมีความหวังอยู่ เราควรต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ควรทำให้เกิดเหตุสะดุดลงอย่างนี้ สภาฯ เป็นง่อย ทำอะไรไม่ได้
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ญัตตินี้เป็นญัตติที่ประธานสภาฯ ได้บรรจุเป็นเรื่องด่วน ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่สองสัปดาห์ก่อนพรรคภูมิใจไทยมีการเข้าชื่อเสนอกัน และตกลงกันว่า ในวันพฤหัสบดีนี้ จะมีการเลื่อนเรื่องขึ้นมาหลังการถามกระทู้ แม้จะขอให้มีการรับทราบรายงานก่อน เพราะว่ามีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานนั้นมาแล้ว จึงเกรงใจ และให้เกียรติหน่วยงานเข้ามาชี้แจง รวมถึงให้สมาชิกได้อภิปรายกันก่อน ระหว่างนั้น มีการประสานมายังวิปในวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งข้อตกลงคือ จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษา MOU ทั้ง 2 ฉบับ รวมถึงให้ฝ่ายค้านเตรียมรายชื่อกรรมาธิการไว้ เพื่อเข้าญัตติในวันนี้
แต่ตั้งแต่ประมาณช่วงเที่ยงวันนี้ ได้มีการเดินพูดคุยหารือกัน คือจะประชุมลับหรือไม่ ซึ่งเข้าใจดีว่า เนื้อหาการอภิปราย อาจมีบางส่วนที่มีความละเอียดอ่อน และอ่อนไหว ต่อเหตุการณ์ และสถานการณ์ในปัจจุบัน หากเผยแพร่ไปสู่สาธารณะ ซึ่งเราก็เข้าใจดี พรรคฝ่ายค้านยินยอม และให้ความร่วมมือ หากรัฐบาลเห็นว่า จะเป็นการประชุมลับดีกว่า
ต่อมา กลับมีการเดินมาเพื่อยกเลิกข้อตกลงเดิมด้วยการบอกว่า จะไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญแล้ว แต่จะส่งไปยังคณะกรรมาธิการสามัญแทน การเดินไปเดินมากว่าเป็นชั่วโมง ซึ่งก็ได้ข้อตกลงว่า เรายอมถอยให้ซึ่งกันและกัน ขณะที่เวลารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เราก็ร่วมแบกองค์ประชุม เพื่อให้สภาฯ ไปต่อได้
“ไม่ว่าเราจะเห็นแย้ง เห็นต่าง เห็นเหมือนกันอย่างไร แต่สภาฯ คือโทรโข่งที่ผู้แทนของประชาชน ได้ลุกขึ้นมาพูดว่า เห็นด้วย เห็นแย้งอย่างไร ต่อข้อเสนอของผู้ที่มาชุมนุม และตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา เพื่อศึกษาข้อดีข้อเสียต่างๆ ของ MOU ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อให้ประชาชนข้างนอกอุ่นใจว่า สภาฯ ยังทำงานให้พวกเขาอยู่ ยังศึกษาหลายละเอียดที่เป็นประโยชน์ประเทศให้เขาอยู่ ดังนั้น การชิงปิดสภาฯ ในวันนี้ โดยที่พวกเราไม่รู้ล่วงหน้าเลย เป็นสิ่งที่อันตรายมากต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่อันตรายมากต่อความหวังที่ประชาชนจะมีต่อสภาฯ และการเมือง ไม่อยากให้สภาฯ แห่งนี้ ทำลายความหวังของประชาชนด้วยตัวเอง จึงหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก แม้ว่าการร่วมมือของทั้งสองฝ่ายที่ผ่านมา จะมีอะไรขรุขระบ้าง แต่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า สภาฯ ต้องเดินหน้า” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
ด้านนางสาวแนน กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ทางวิปฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้มีการคุยกัน ไม่ใช่แค่ 2 ครั้ง แต่มากกว่า 5 ครั้ง ที่มีการเดินไปเดินมา ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง สำคัญที่สุดคือญัตตินี้นายสฤษฏ์พงษ์ ได้มีการยื่นญัตติเอาไว้เป็นลำดับที่สองในญัตติด่วน
ในขณะที่เรามีการตกลงกันไว้หมดแล้ว ว่าหลังจากรับทราบรายงานของหนึ่งหน่วยงานนั้น เราจะขอเลื่อนวาระการประชุม เพื่อเข้าญัตติด่วนตามที่ได้ตกลงกันระหว่าวิป ทั้งมีการระบุด้วยว่า ใครจะเป็นคนขึ้นขอเปลี่ยนระเบียบวาระ ซึ่งคือตนเองที่กำลังจะยกมือขึ้น และในตนที่ประธานพูดปิด ก็เป็นเสียงของตนเองที่เรียกประธาน
เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่แค่เฉพาะฝ่ายค้านที่ตกใจ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ตกใจเหมือนกัน กับการกระทำที่เกิดขึ้น เพราะน้อยที่สุดที่มีการเตรียมไว้ คือสองญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อเสนอประกบ
“ในการเจรจา ตอนแรกขอลับ ลับตอนเรื่องเนื้อหา ไม่รับตอนญัตติ มาอีกหนึ่งรอบบอกลับตั้งแต่เสนอญัตติรวมถึงเนื้อหา มาอีกรอบหนึ่งบอกขอไม่ตั้งวิสามัญ ขอไปวิสามัญ พอมารอบสุดท้าย ก็แบบที่เห็น ไม่ต้องคุยกันแล้ว ปิดประชุมใส่กันเลย ซึ่งต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทั้งวิปรัฐบาล และประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่ในขณะนั้น ท่านก็คือหนึ่งในรองประธานสภาฯ ที่ไปรับหนังสือจากประชาชน ที่เขามายื่นเรื่อง MOU 43-44 ทำไมท่านไม่ฟังเสียงพี่น้องประชาชนในการพูดคุย ต้องใช้เวทีไหนในการพูดคุย เรื่องที่เป็นปัญหาประเทศ” นางสาวแนน กล่าว
นางสาวแนน กล่าวว่า ไม่ทราบว่านับจากนี้ จะอ้างเหตุผลอะไร แต่ต้องขอตั้งคำถามย้อนกลับไป ว่าเป็นเพราะเหตุใด จะเห็นว่ามีบางพรรคที่ไม่พร้อม ไม่พร้อมที่จะคุย ไม่พร้อมจะลงไปศึกษาเนื้อหา และไม่พร้อมแสดงผลดีผลเสียให้กับประชาชนได้รับทราบ ถามว่าท่านอยากใช้เวทีไหน ถึงจะยอมรับในการพูดคุย ท่านส่งตัวแทนรองประธานสภาฯ 2 ท่านไปรับหนังสือ แต่ก็เป็นท่านเองที่ปิดประชุมเสียเอง โดยที่ไม่นำเรื่องนี้มาพิจารณา ญัตตินี้ยังค้างอยู่ในสภาฯ แน่นอนว่า พวกเราจะยืนอยู่ในจุดเดิมว่า เราจะต้องเอาเรื่องนี้มาพูดคุยกัน เวทีสภาฯ ควรเป็นที่ที่ใช้แก้ปัญหาของประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้
นายไชยชนก กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทุกพรรคที่มายืนอยู่ตรงนี้ และไม่มายืนอยู่ตรงนี้ ได้ยอมทุกข้อเสนอจากทางฝั่งรัฐบาล เพื่อให้เรื่องนี้ ได้มีการดำเนินการต่อ หาข้อเท็จจริง หาทางออกเพื่อประเทศ แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เห็น
วันนี้ตนอยากจะฝากเป็นข้อความไปสู่รัฐบาล และประชาชนว่า “ความจริง มันเริ่มออกมาแล้ว วันนี้เขื่อนแตกแล้ว ไม่ว่าท่านจะพยายามใช้อำนาจท่านในทางใด ท่านไม่สามารถปกปิดสิ่งที่กำลังออกมาในเวลานี้ได้ ไม่ว่าพวกผมจะสามารถพูดในสภาฯ อันทรงเกียรติแห่งนี้ได้หรือไม่ ตั้งกรรมาธิการได้หรือไม่ มีพี่น้องประชาชนที่รักชาติในทุกระดับ ทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ที่มีข้อมูล มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมที่จะนำเสนอข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่เรื่องนี้เกิดขึ้น และก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ”
เพราะฉะนั้น ฝากบอกรัฐบาลว่า “อย่าฝืนเลยครับ” สำหรับประชาชน อยากจะบอกว่า “อยากให้พวกเราสามัคคีกันไว้ และอดทน อย่าเพิ่งยอมแพ้ พวกเราทุกคนไม่มีใครต้องการที่จะเห็นการรัฐประหารหากเป็นไปได้ วันนี้เรายังเชื่อว่ายังสู้ไหว และพยายามที่จะสู้ต่อไปในกระบวนการตามระบบที่มี อยากให้ทุกคนอดทนต่อไปเท่าที่ทำได้ หากไม่ไหวจริงๆ ก็เป็นเรื่องของอนาคต ตนอยากให้ทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ในฐานะประชาชน ที่รักอธิปไตย รักประเทศไทย ทำในสิ่งที่ท่านสามารถจะทำได้ ให้ความจริงต่างๆ ออกมา เชื่อว่าสุดท้าย ความจริงชนะทุกอย่าง
เมื่อถามถึงกรณีที่นายไชยา ให้เหตุผลการปิดประชุมว่า ได้รับการประสานมา หากหมดวาระรับทราบรายงานการประชุม ให้ปิดประชุมได้เลย นายปกรณ์วุฒิ ยืนยันว่า “ไม่มีครับ” ส่วนมองว่ามีใบสั่งหรือไม่ ก็คงต้องถามรองประธานสภาฯ อีกรอบ แต่วิปฝ่ายค้านยืนยันว่า ไม่ได้มีการประสานในการขอปิดประชุม
เมื่อถามว่าเหมือนโดนหักหลังหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดน แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะประชาชนมาชุมนุมข้างหน้า การไม่เปิดพื้นที่ในสภาฯ ให้แสดงความคิดเห็น เป็นตัวแทนประชาชนข้างนอก เป็นเรื่องใหญ่มาก
by TVPOOL ONLINE