เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

“หยุนเชี่ยงจู๋ไห่” จากทะเลไผ่ไปเหยียบเมฆ

อีกหนึ่งที่เที่ยวในอำเภอผานเซี่ยนที่ท้าให้มาพิสูจน์กล้ามขาก็คือ “หยุนเซี่ยงจู๋ไห่” ครับ ห่างจากตัวเมืองราว 78 กิโลเมตร สถานที่นี้ทางการกำลังพยายามพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน การเดินทางเท่าที่คุณไต้ เพื่อนร่วมงานชาวจีนอธิบายให้ฟังระหว่างทางก็สะดวกพอตัว คือนอกจากจะมีถนนที่เชื่อมเข้ากับทางด่วนสายเซี่ยงไฮ้-คุนหมิงแล้ว ตอนนี้นักท่องเที่ยวยังจะสามารถเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงเซี่ยงไฮ้-คุนหมิงได้ด้วยเช่นกัน

“จู๋ไห่” แปลเป็นไทยก็คือ ทะเลไผ่ ส่วน “หยุนเชี่ยง” แปลว่า บนเมฆ เราอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของป่าไผ่ที่อาราชิยามา นครเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นกันมาบ้าง ที่จีนก็มีที่นี่แหละครับที่พอจะเทียบได้สมน้ำสมเนื้อ ส่วนตัวผมที่ไปมาทั้งสองแห่งแล้ว ผมมองว่าที่เกียวโตจะได้ความขลังกว่า แต่ที่นี่ก็จะได้ความอลังและเหนื่อยปาดเหงื่อกว่ามาก ด้วยพื้นที่ป่าไผ่ที่เขาก็ถูกของเขาที่ใช้คำว่าทะเลกว้างใหญ่ถึง 24,000 ไร่

สิ่งที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่งของที่นี่คือความเอาจริงเอาจังของชาวบ้านและทางการท้องถิ่น ย้อนกลับไปหลายปีก่อน พื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงสวนเพาะไผ่ที่มีเจ้าของผูกขาดเพียงไม่กี่ราย ซึ่งในระยะยาวหลายฝ่ายมองว่าการทำธุรกิจประเภทนี้มันไม่ได้ก่อให้เกิดความยั่งยืนหรือทำให้ชุมชนและละแวกเจริญขึ้นมาได้ ผ่านการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่อยู่นานสองนาน ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

อำเภอผานเซี่ยนตั้งใจจะเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นอุทยานโดยในระยะแรกได้เรียกคืนพื้นที่ราว ๆ 6,800 ไร่ รื้อที่อยู่อาศัย 106 หลัง ย้าย 378 สุสาน และตัดงบประมาณมาให้ถึง 180 ล้านหยวน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งก็หมดไปกับการสร้างถนนวนรอบอุทยานระยะทางยาว 12.2 กิโลเมตร ทางเดินไม้ 16 กิโลเมตร และเส้นทางสำหรับชมวิวทิวทัศน์อีก 900 เมตร ส่วนงบประมาณที่เหลือก็นำไปช่วยเหลือชาวไร่พัฒนา-ปลูกสร้างที่พักอาศัย และให้บริการในรูปแบบ โฮมสเตย์ จำนวน 50 หลัง ซึ่งตอนนี้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว 31 หลัง

เจ้าหน้าที่ได้พาคณะผู้สื่อข่าวอาเซียนเข้าชมบ้านพักโฮมสเตย์ที่ว่าด้วยครับ เป็นบ้านที่เข้าไปอยู่แล้วรู้สึกว่าถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านการเงิน ก็อยากจะมาอยู่จนแก่จนเฒ่าเสียให้ได้ (ค่าเช่าต่อคืนค่อนข้างสูง ตกประมาณ 1 หมื่นบาท) แต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันระยะพอควร โอบล้อมด้วยทะเลไผ่และธารน้ำ ถ้าผมจำไม่ผิดมีทั้งหมด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่นและอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน สิ่งที่ทำให้เขาตั้งราคาค่อนข้างสูงก็นอกจากจะตื่นเช้ามาได้อารมณ์จิบชาชมไผ่ลู่ลมแล้ว ตัวบ้านเองที่ทำจากไม้เนื้อหอมส่งกลิ่นอวลไปทั่วเนี่ยแหละครับที่เป็นอีกหนึ่งหมัดเด็ด

เดินออกจากทะเลไผ่ก็เจอกับแยกวัดใจครับ เจ้าหน้าที่ถามเราว่าจะเลือกทางไหน หนึ่งคือไปขึ้นรถบัสเพื่อนั่งไปถึงยอดดอยเลย หรือสอง จะเดินไปใช้เวลา 40 นาที ผมก็แบ่งรับแบ่งสู่อยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็เห็นผู้อำนวยการศูนย์ข่าวอาเซียน นายใหญ่สุดที่เลือกช้อยส์หลัง ผมก็กลืนน้ำลายและร้องเพลงบอกตัวเองว่า…ฉันต้องไม่ตาย ฉันต้องคงหายใจ

แต่ไม่ตายก็จวนแล้วล่ะครับ มองจากที่ยืนอยู่ไปบนเขาที่มีซุ้มจีนให้นั่งพักเป็นจุด ๆ ก็ว่าไม่น่าจะมีบันไดเยอะขนาดนี้ เพลงใกล้แค่ไหนคือใกล้ยังดังวนเวียนอยู่ในหัวผมอย่างต่อเนื่อง นับขั้นบันไดจนเลิกนับไปแล้วครับ แต่มั่นใจว่าเกิน 1,500 ขั้นแน่ ๆ อารมณ์ที่ว่าขึ้นไปแล้วจะละเมียดละไมถ่ายรูปวิวพาโนรามานี่ดับสูญเลย คือขอแค่ให้หัวกับตัวไปถึงที่จอดรถบนยอดนั่นก็เป็นพอ
แม้จะงอนเจ้าบันได แต่พอถึงยอดแล้วความเหนื่อยล้าก็พลันมลายหายเป็นปลิดทิ้ง ภาพวิวของภูเขาน้อยใหญ่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา มือที่เอื้อมไปราวกับว่าได้จับปุยเมฆนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้จริงๆ ในใจผมนึกขอบคุณใครก็ตามที่เห็นประโยชน์ของพื้นที่แห่งนี้มากกว่าเป็นได้เพียงแค่ที่เพาะเลี้ยงไผ่

คุณไต้บอกกับผมอีกว่าอุทยานหยุนเชี่ยงจู๋ไห่ได้สร้างโอกาสการมีงานทำให้ชาวบ้านแล้วกว่า 1,200 คน เพิ่มรายต่อหัวเฉลี่ยกว่า 80-120 หยวนต่อวัน และหลังจัดสร้างสถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานแล้วเสร็จครบ 4 แห่ง คาดว่าจะทำให้ 8,600 คน ใน 4,000 ครัวเรือน จากกว่า 23 หมู่บ้านพ้นจากความยากลำบาก

ที่มา – thai.cri.cn