เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 12 ม.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร

จากนั้นทรงประเคนภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร และวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 11 ม.ค. โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เขตสุขภาพที่ 1 เขตสุขภาพที่ 2 เขตสุขภาพที่ 3 และเขตสุขภาพที่ 4 ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เวลา 10.30 น. นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ และถวายภัตตาหารเพลงแด่พระสงฆ์ 10 รูป จากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร วัดเสมียนนารี พระอารามหลวง วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร วัดดอนเมือง พระอารามหลวง วัดไผ่เงินโชตนาราม วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร และวัดเถรพลาย จ.สุพรรณบุรี ที่สวดพระพุทธมนต์

โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันอาหาร และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ ร่วมเป็นเจ้าภาพ ในการนี้เจ้าพนักงานได้นิมนต์พระราชธรรมวาที วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร มาแสดงธรรมเทศนา เรื่อง “ธมฺมิกมหาราชกถา แผ่นดินที่สง่าเพราะมีพระราชาที่ทรงธรรม”

สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.00 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอคิวกราบพระบรมศพ ในบริเวณสนามหลวงเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 45,614 คน รวม 72 วัน มี 3,124,121 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็น เงิน 3,764,584.25 บาท รวม 72 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 255,682,565.25 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 71 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. ซึ่งสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรีในเวลา 04.45 น.

นางสตีเยาะ เนาว์ไพร อายุ 53 ปี

จากนั้นเวลา 08.00 น. ได้เปลี่ยนให้เข้าทางประตูมณีนพรัตน์ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดารามทางประตูวิเศษไชยศรี โดยประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพจำนวนมาก ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก

น.ส.เมย์วิกา นัยบุตร อายุ 20 ปี

นางสตีเยาะ เนาว์ไพร อายุ 53 ปี ชาว จ.ภูเก็ต กล่าวว่า แม้เส้นทางสัญจรในภาคใต้บางช่วงจะถูกตัดขาดจากสถานการณ์น้ำท่วม แต่ไม่เป็นอุปสรรค ตนได้ออกเดินทางโดยรถบัสมาพร้อมเพื่อนบ้านในหมู่บ้านคนที อ.เมือง รวม 200 คน ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. เมื่อมาถึงชุมพรต้องแวะพักค้างคืน เพราะน้ำท่วมถนนเดินทางต่อไม่ได้ ก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และมาถึงกรุงเทพฯ กลางดึกของวันที่ 11 ม.ค. จากนั้นได้เข้าที่พักและเดินทางมาต่อคิวที่สนามหลวงตอนตี 3

นางฉัตราภรณ์ สมบูรณ์พล อายุ 62 ปี

นางสตีเยาะ กล่าวต่อว่า รู้สึกดีใจที่ได้ใกล้ชิดพระองค์เป็นครั้งแรกในชีวิต เนื่องจากตนเป็นมุสลิม จึงนั่งก้มหน้าสงบนิ่งเบื้องหน้าพระบรมโกศ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ คนไทยมีความเป็นอยู่ดีขึ้นก็ด้วยพระบารมี ตอนพระองค์สวรรคตเป็นช่วงที่ตนป่วยพอดี ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ดูทีวีมีแต่รายการเกี่ยวกับพระองค์ จนลูกๆ มาบอกว่าในหลวงสิ้นแล้ว ตนตกใจมากน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ทุกวันนี้ตนก็ดำเนินตามรอยพระยุคลบาท โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงทำสปามุสลิม ที่ทางจังหวัดมาแนะนำและฝึกสอนให้ จึงมีรายได้เลี้ยงตัวได้

ส่วนน.ส.เมย์วิกา นัยบุตร อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กล่าวว่า ตนเดินทางมากับพี่สาว โดยมาต่อคิวที่สนามหลวงตั้งแต่ตี 4 และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพประมาณ 12.30 น. แม้จะรอนาน แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะตั้งใจว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมากราบพระองค์ให้ได้ ตอนที่กราบก็รู้สึกเสียใจที่พระองค์ไม่อยู่กับเราแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมากราบสักการะพระองค์อีก

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีมาก พระองค์ทรงทุ่มพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนโดยไม่หยุดพัก แม้พระองค์ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปทรงงานตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยด้วยพระองค์เอง บางแห่งก็เป็นที่ทุรกันดารและต้องเดินทางอย่างยากลำบาก ทำให้หนูรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นอย่างในการดำเนินชีวิตของหนู ทั้งในเรื่องความขยันหมั่นเพียร ความมานะอดทน ความพยายาม และความกตัญญู ซึ่งหนูจะนำไปใช้ในการเรียน โดยจะตั้งใจเรียนให้เต็มที่ และจะช่วยเหลือพ่อแม่เท่าที่ทำได้” น.ส.เมย์วิกากล่าว

ด้านนางฉัตราภรณ์ สมบูรณ์พล อายุ 62 ปี ครูวิชาการเกษตร โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ เขตมีนบุรี เดิยทางมากราบสักการะพระบรมศพเพียงลำพัง กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า ตนมาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 6 แล้ว ส่วนใหญ่มาช่วยทำอาหารแจกจ่ายประชาชนที่บริเวณท้องสนามหลวงก่อน เมื่อแล้วเสร็จจึงเข้ามากราบสักการะพระบรมศพ บางครั้งได้เข้ากราบราวเที่ยงคืนก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือย่อท้อ เพราะตนรักและเคารพเทิดทูนในหลวง รัชกาลที่ 9 เหนือเกล้า ท่านทรงงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนมามาก แต่ละโครงการที่ท่านทรงมีพระราชดำริล้วนมีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก ในอดีตตนก็เคยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาทำเป็นผลงานจนได้รับการเลื่อนขั้น ทำให้รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

“นอกจากน้อมนำพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยการทำบัญชีรายจ่าย ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ปลูกผักคะน้าและกวางตุ้งไว้กินเอง และแบ่งปันให้เพื่อนบ้านแล้ว ยังพยายามถ่ายทอดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่ลูกศิษย์ เพื่อให้สิ่งที่พ่อหลวงทรงริเริ่มไว้ได้ดำรงต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป” นางฉัตราภรณ์ กล่าว

ที่มา – ข่าวสด