เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

คิดว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็สาว “ตุ๊กตา-จมาพร แสงทอง” หรือสาว “ตุ๊กตา เดอะวอยซ์” นี่เอง ที่ผ่านเข้ารอบไปแข่งขันประกวดร้องเพลงในรายการใหญ่อย่าง “I Can Sing In Japanese” ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งใน 2 คน ตัวแทนประเทศไทยที่ต้องร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นในการประกวดทั้งหมดแข่งกับชาวต่างชาติทั่วโลกเพื่อชิงรางวัลเป็นผู้ชนะและได้ทำงานเพลงในสังกัดที่ประเทศญี่ปุ่น แฟนๆของสาว “ตุ๊กตา” ใครที่คิดถึงเสียงหวานๆหน้าสวยๆของเธอ  เตรียมเชียร์และให้กำลังใจกันอีกครั้งได้เร็วๆนี้แน่นอน แต่ก่อนอื่นไปคุยกับเธอกันก่อนดีกว่า ว่าเตรียมความพร้อมในการแข่งขันไปถึงไหนแล้ว

 

ถามก่อนเลยว่ารู้ข่าวการประกวดจากรายการนี้มาจากที่ไหน แล้วทำไมถึงไปสมัครล่ะ เพราะเราก็เป็นศิลปินมืออาชีพแล้ว ผ่านเวทีใหญ่ๆมาแล้ว

“มีพี่โปรดิวเซอร์ที่เขาเคยทำรายการเดอะวอยซ์ซีซั่น 1- 2 เค้าส่งมาหาเราว่า จะมีการแข่งรายการ I can sing in Japanese นะ ตุ๊กลองส่งคลิปไปมั้ย พอเราทราบข่าว เราก็รีบเข้าไปอ่านรายละเอียดเลย ในรอบแรกเป็นรอบคลิปวีดีโอ เราก็รีบสมัครแล้วก็ส่ง submit ทันทีวันนั้นเลย เพราะพักหลังๆเราจะอัดคลิปวีดีโอ cover เพลงญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาเอเชียอื่นๆอยู่แล้ว เราเลยยิ่งสนใจ ตอนสมัครเราก็ส่งคลิปในรายการเดอะวอยซ์ไปนั่นแหละ (หัวเราะ) เพราะเราร้องเพลงญี่ปุ่นพอดี แต่เราก็แอบส่งอีกคลิปไปเหมือนกันเพราะคลิปนั้นมันนานแล้ว กลัวเขาจะไม่รับ”

จาก “ตุ๊กตาเดอะวอยซ์” กำลังจะโกอินเตอร์ไปแข่งร้องเพลงที่ญี่ปุ่นแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

“ตอนแรกเราส่งไป เราไม่รู้เลยว่าจะผ่านเข้ารอบสองรึเปล่า อย่าว่าแต่ความรู้สึกว่าโกอินเตอร์เลย ตอนเรารับโทรศัพท์จากต่างประเทศ มันขึ้นว่า Singapore เรายังงงเลย ใครโทรมาวะ? กำลังร้องเพลงอยู่ด้วยนะ แต่ก็รับเลยนะ ก็ตกลงเป็นทางรายการโทรมา (นึกว่าจะบอกว่าผ่านเข้ารอบ) เค้าบอกว่าทีมงานขอให้อัดคลิปส่งมาอีกรอบได้มั้ย เราก็ถามว่านี่เราติดแล้วใช่มั้ย เค้าบอก ยังๆ ขอดูคลิปนี้ก่อน คืนนั้นเราก็ยกเลิกทุกแพลน ไปอัดคลิปให้เค้าทันที แล้วเช้ารุ่งขึ้นก็ส่งให้เค้า สุดท้ายเค้าก็เมล์ว่าเค้าเลือกเรา ความรู้สึกเหมือนตอนโค้ชกดหันมาเด๊ะเลยค่ะ”

ต้องร้องเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ยากมั้ย ทั้งในเรื่องของภาษา การทำความเข้าใจในสิ่งที่เนื้อเพลงต้องการจะสื่อ

“ยากมากค่ะ 1 เราพูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย ตั้งแต่ตอนประกวดเดอะวอยซ์แล้ว เราไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น พูดไม่ได้ อ่านไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยความที่มันเป็นเพลงโฆษณากูลิโกะตอนเราเด็กๆ เราจับฟีลจับความรู้สึกของเพลงได้ แล้วมันเป็นเพลงที่เราชอบ เราฟังแป๊บเดียวก็ร้องได้ และด้วยความที่เราไม่ได้เรียนร้องเพลง ทุกอย่างเกิดจากการก็อปปี้และแกะเองล้วนๆ เพลงที่ไม่ใช่ภาษาไทยเราจะแกะเป็นภาษาคาราโอเกะ กรอเทปไปมา แล้วก็เขียนลงกระดาษ ฝึกร้อง ทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งเพลงฝรั่ง เพลงญี่ปุ่น เด็กๆตอนป.4 เราชอบ x-japan มาก ถึงขั้นนั่งเปิด cd แล้วก็แกะทีละประโยค ใส่สมุด เวลานั่งดูคอนเสิร์ตอยู่บ้านจะได้ร้องตามเค้าได้ประหนึ่งอยู่ในโตเกียวโดม เราก็ทำแบบนี้ตอนโตขึ้นเวลาต้องแกะเพลงภาษาอื่นๆ เช่นเกาหลี ล่าสุดต้องร้องภาษาพม่า ก็ใช้วิธีแกะแบบนี้เหมือนกัน”

ในชีวิตนี้ขึ้นประกวดร้องเพลงมากี่ครั้ง กี่เวทีแล้ว และเวทีครั้งนี้ก็ค่อนข้างใหญ่ มีคนมาแข่งจากทั่วโลก กดดันมั้ย

“กดดันมาก ตอนรู้ว่าต้องไปแข่งรอบต่อไปที่สิงคโปร์ ความรู้สึกก็นึกถึง “เก่ง – ธชย” นึกถึง “น้ำตาล-ชลิตา” นึกถึงคนที่จะต้องไปทำภารกิจอะไรเหล่านี้ที่ต่างประเทศ คือเราไม่รู้หรอกว่าเวทีที่เราไปมันใหญ่เล็กขนาดไหน แต่เราไปในฐานะคนไทย ไม่ว่าจะมีกรรมการหรือคนฟังซักกี่คน รายการจะดังแค่ไหน แต่เราคือคนไทย ที่จะไปร้องเพลงให้คนต่างชาติต่างวัฒนธรรมฟัง เค้าคงไม่ได้จดจำชื่อเรามากนัก แต่เค้าจดจำเราที่เป็นคนไทย เพราะฉะนั้น เหมือนเราจะทำอะไร มันก็จะมีคำว่าคนไทยอยู่ เพราะฉะนั้นเราจะไปเล่นๆไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรก็ได้ตามใจ ความทุ่มเทต้องมี ต้องมา พูดไปก็จะหาว่าเว่อร์ อยู่ดีๆเราก็นึกถึงในหลวง ว่าถ้าเราได้เข้าเฝ้าท่าน ท่านคงจะตรัสกับเราว่า “ร้องให้เค้ารับรู้ถึงหัวใจคนไทยนะ” ก็คิดไปต่างๆนานา เราขึ้นเวทีประกวดไม่บ่อยมากนัก แต่ก็ไม่น้อย มีทั้งที่ผิดหวังแบบจนไม่อยากกลับมาร้องเพลงอีกแล้ว กับที่สมหวังจนเราก็คาดไม่ถึง แต่เวทีที่ผ่านๆมามันคือการแสดงความเป็นตัวเอง ต่อหน้าคนอื่น อันนี้มันคือการแสดงความเป็นคนไทย ต่อหน้าคนต่างชาติ เราคิดแบบนั้นนะ ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูยิ่งใหญ่เกินตัว แต่ฝันให้เกินตัว ดีกว่ามานั่งเสียดายว่าตอนนั้นน่าจะทำให้ดีกว่านี้ เพราะเราเคยผ่านความรู้สึกแบบนั้นมาแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้ เพราะฉะนั้นเวลาโอกาสมา ไม่ว่าจะใหญ่จะเล็ก เราต้องเต็ม 100 ให้ได้ทุกครั้ง เราคิดแบบนั้นนะ”

ตอนนี้มีการเตรียมตัวยังไงบ้างที่จะไปแข่ง แล้วแนวเพลงที่จะใช้ร้องคือแนวไหน

“โชคดีเรามีเพื่อนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นเยอะ ตอนนี้เราก็ให้เค้าติวเบื้องต้นให้ ไม่ใช่จะได้พูดได้นะ แต่จะได้เข้าใจการออกเสียงรูปปากของเค้า เพราะเราไปดูรายการนี้ในปีก่อนๆ คือด้วยความที่คนญี่ปุ่นเป็นคนเป๊ะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะต้องร้องให้ได้ใกล้เคียงที่สุด เราจะมาแกะเองเข้าใจเองไม่ได้และ เพราะครั้งนี้เจ้าของภาษาเค้าฟังด้วย เราเห็นกรรมการเค้าใส่หูฟังฟังเลย ไม่ได้ฟังเฉยๆ ถ้าเราทำได้ดี ก็ดี แต่ทำได้ไม่ดี เพราะเราพยายามไม่มากพอ เราคงเสียใจ ตอนนี้เราก็ให้เพื่อนๆมาช่วยอธิบายการพูดการร้องของคนญี่ปุ่น เพราะมันไม่เหมือนกับธรรมชาติภาษาไทยเลย คนละเรื่อง เราจะเน้นเรื่องภาษาก่อน เพราะความรู้ด้านนี้เราน้อย ส่วนเรื่องร้องเพลง ตอนนี้เราก็จะดูหนังญี่ปุ่นเยอะกว่าปกติ พยายามจะเข้าใจวัฒนธรรมเค้า เข้าใจว่าเค้าต้องการจะสื่ออะไรจากการแต่งเพลงนี้ อย่างเพลงที่ทีมงามเลือกให้เราคือ Nandemonaiya จากเรื่อง your name เราโชคดีมาก เราอินเรื่องนี้พอดี พอรู้ว่าจะได้ร้องเพลงนี้ก็ดีใจ แต่เพลงนี้ร้องยาก เพราะภาษายาก และมันเป็นเพลงที่เป็นสุขปนเศร้า ปลงเข้าใจโลกคิดถึงคาดหวัง รวมกันเต็มไปหมด ความยากของมันคือการถ่ายทอดจากเราซึ่งเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรมทางความคิดและภาษาคนละเรื่องเลย ตอนนี้เราเลยต้องเร่งเข้าใจสิ่งที่คนญี่ปุ่นคิด เหมือนเรียนรู้ตัวละครเพื่อเอาไปแสดงละครเวที อะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ”

คาดหวังกับการแข่งขันในครั้งนี้ขนาดไหน

“เป็นคำถามที่จะต้องตอบเหมือนตอนยังอยู่ในรายการเดอะวอยซ์ แต่ครั้งนี้จะตอบว่า คาดหวังค่ะ อยากทำให้ดี ตั้งไว้ 10 ก็อยากให้เต็ม 10 ค่ะ กดดันตัวเองไว้เลยค่ะ ต่างจากตอนประกวดตอนอื่นๆ เราจะต้องพยายามให้มันสบายที่สุด อันนี้เรากดดันไว้ก่อน เพราะเราสบายกับตัวเองมาเยอะ เราเลยพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไปค่อนข้างเยอะเหมือนกัน อันนี้มันเหมือนประจวบเหมาะที่ได้โอกาสนี้มาแล้ว เราจะพลาดอีกไม่ได้ เต็ม 100 ก็ต้องเกิน 100 แบบไม่ยอม ต้องทำให้ได้ เหมือนกลับไปเป็นเด็กแข่งวิ่งอะไรประมาณนั้นอีกครั้งเลยล่ะค่ะ”

เชื่อว่าแฟนๆของเราคงจะติดตามกันอยู่ ขอกำลังใจหน่อย

“ไม่แน่ใจว่าจะมีใครรู้เยอะมากน้อยแค่ไหน เพราะเราไม่ค่อยได้บอกใคร เราอยากทำให้ดีที่สุดในส่วนของเราก่อน แต่กำลังใจจากทุกคนก็สำคัญ สำหรับใครที่ทราบว่าตุ๊กตาจะต้องไปแข่งรอบต่อไป ที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ส่งกำลังใจ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ส่งมาที่ใจตุ๊กตา ตุ๊กตาจะพูดเป็นเพลงแทนออกมาให้ค่ะ ..นางงามไปอีก (หัวเราะ)”

ตอนนี้ต้องเดินทางไปแข่งขันเมื่อไหร่ และต้องทำอะไรบ้าง

“ต้องเดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์ วันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ ค่ะ วันแข่งจริงคือวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ช่วงนี้ก็จะส่งเมล์คุยกับทีมงานเรื่อยๆค่ะว่าต้องทำอะไรบ้าง ในวันแข่งเค้าก็จะมีการอัดวีดีโอ เค้าก็ดีนะคะ เค้าบอกให้เราไปฝึกออกเสียงภาษาญี่ปุ่นเยอะๆ ส่ง backing track มาให้ ให้เราซ้อมร้อง วันแข่งจริงเราก็ต้องเตรียมชุดแล้วก็แต่งหน้าทำผมไปเอง แต่หลักๆน่าจะเป็นเรื่องเตรียมใจและเตรียมความพร้อมมากกว่าค่ะ การแข่งครั้งนี้ ไม่กดดันเลยค่ะ เค้าเอาแค่ 1 คนเป็นตัวแทนเอเชีย ไปแข่งกับทวีปอื่นๆ ตอนนี้ไม่ทราบเลยว่ามีคนแข่งรอบต่อไปอีกกี่คน รู้แต่มีคนไทยเข้าไป 2 คนนะคะ อีกคนนึงเป็นน้องผู้ชายคนไทย ร้องเพราะเลยค่ะ วันที่ 11 เราก็จะเดินทางพร้อมกันค่ะ ก็เป็นตัวแทนประเทศไทย 2 คน ถ้าเราไม่ได้ ก็ขอให้น้องเค้าได้ค่ะ ยังไงก็ได้ ให้คนไทยเข้าไปไว้ก่อน”

ตอนนี้เราเป็นอิสระใช่มั้ย แล้วร้องเพลงหรือทำอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง เผื่อแฟนๆอย่างติดตาม

“ตอนนี้เพิ่งปล่อย single พิเศษ ที่ทำงานร่วมกับ พี่ “แทน ลิปตา” ไปนะคะ ชื่อเพลง “เหตุผลที่ยังหายใจ” (Still) มี 2 เวอร์ชั่นค่ะ ไทยกับเกาหลี มีให้ฟังกันใน youtube itune แล้ว ส่วนงานอื่นๆก็ยังรับอีเว้นท์ตามปกติ แล้วก็ร้องเพลงตามร้านอาหาร มีร้าน มูลาร์ Vapor , ร้าน Charm eatery & Bar แล้วก็ Route66 เหมือนเดิมค่ะ”

ฝากช่องทางการติดต่อหรือรับชมผลงานของเราหน่อย

“ตามนี้เลยค่ะ IG : Jamaporn  , Facebook : fanpage ตุ๊กตา จมาพร ค่ะ”

 

และอีกหนึ่งผู้ผ่านเข้ารอบเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดที่ประเทศสิงคโปร์พร้อมๆกับ “ตุ๊กตา” นั่นก็คือหนุ่ม “เบสท์-ธนกฤต นาวีระ” หนุ่มที่รักการร้องเพลงแนวบัลลาดเป็นชีวิตจิตใจ อดีตนักร้องในชุมนุมโฟล์คซองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่พึ่งจะจบการศึกษาไปหมาดๆจากคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา และกำลังร่ำเรียนฝึกภาษาญี่ปุ่นจากโรงเรียนวาเซดะไทยแลนด์เพื่อการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะ เจ้าตัวจะรู้สึกยังไงบ้างที่ผ่านเข้ารอบ ไปคุยกับหนุ่มเบสท์กันเลยดีกว่า

รู้ข่าวว่าเราผ่านเข้ารอบเป็นหนึ่งในคนไทยที่จะไปประกวดต่อที่ประเทศสิงคโปร์ รู้สึกยังไงบ้าง

“ดีใจครับ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ คือจริงๆเรื่องการรับสมัครนี่เพื่อนมาบอกเลย เพราะเพื่อนเค้าตามเพจรายการอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยร้องเพลงอยู่ในชุมนุมที่มหาวิทยาลัยมาก่อนครับ โฟล์คซองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่พึ่งจบออกมาครับ จากคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยาครับ”

เราเคยร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นมาก่อนมั้ย

“เคยร้องเล่นๆครับ แต่ไม่เคยร้องออกงาน จริงๆตอนนี้ก็เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ครับ ไปเรียนเพิ่ม คือเพลงภาษาญี่ปุ่นถ้าเทียบกับเพลงไทย การใช้ภาษามันก็คนละแบบกันแล้ว แต่ถ้าเรื่องการออกเสียงมันก็ไม่ยากครับ การเรียนรู้ก็ใช้เวลาแป๊บเดียว ผมว่าเสน่ห์ของเพลงภาษาญี่ปุ่นมันอยู่ที่การออกเสียงและพวกทำนองครับ เพลงญี่ปุ่นจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากๆ แต่นอกจากเพลงญี่ปุ่น เพลงไทย เพลงสากลแล้ว ผมก็เคยร้องเพลงภาษาเกาหลี ภาษาจีนมาด้วยครับ แต่จะชอบภาษาญี่ปุ่นมากกว่า”

รู้แล้วใช่มั้ยว่าเราเข้ารอบไปพร้อมๆกับ “ตุ๊กตา เดอะวอยซ์”

“ใช่ครับ ก็มีโอกาสได้คุยกันในเฟซบุ๊กบ้างแล้วครับ เพราะว่าพี่ที่รู้จักเคยเป็นทีมงานในรายการเดอะวอยซ์ เค้าก็เลยแนะนำให้รู้จักครับ ก็พอรู้ว่าได้ไปด้วยกันก็ได้คุยกันในเฟซบุ๊กครับ”

การไปประกวดครั้งนี้ก็เป็นตัวแทนประเทศไทย กดดันมั้ย คาดหวังมากน้อยแค่ไหน

“ส่วนตัวไม่ได้กดดันนะ แต่แค่หวังนิดนึงว่าอยากได้ไปญี่ปุ่น (หัวเราะ) สำหรับรอบที่จะไปแข่งที่ประเทศสิงคโปร์นี่คาดหวังมากครับ แต่ถ้าผ่านรอบนี้ไปได้ก็ 50 : 50 ครับ ถ้าผ่านเข้ารอบก็ได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่นต่อ ตอนนี้ก็ซ้อมร้องทุกวันเลย คุยกับอาจารย์ที่สอนภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ให้เค้าดูการออกเสียงว่ามันยังมีคำไหนมั้ยที่จะออกเสียงให้มันเนียนไปกับคนญี่ปุ่นได้ เพราะว่าบางทีการออกเสียงเวลาพูดกับเวลาร้องเพลงมันจะต่างกันนิดนึงครับ”

ขอกำลังใจจากคนไทยหน่อย

“ก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ เพราะว่าผมก็ถือว่ายังมือใหม่มากจริงๆ ไม่เคยประกวดในรายการใหญ่ๆเลย เคยประกวดแค่เวทีเล็กๆที่จัดกันเอง หรือตอนม.1 ก็ประกวดได้ที่ 1 ของประเทศนะ ของกระทรวงศึกษาธิการ แต่มันก็ไม่ใช่ของค่ายเพลงใหญ่ๆครับ”