เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

วันหนึ่งตื่นเช้ามาส่องกระจกพบว่าใบหน้าบูดเบี้ยว ผิดปกติไปจากเดิม คุณจะรู้สึกอย่างไร จะทำอย่างไร ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่รักสวยรักงามอยู่แล้ว ความทุกข์ระทมใจย่อมเกิดขึ้นทันทีแน่นอน…

“น้องทราย” นฤดี จอดสันเทียะ เด็กนักเรียนสาววัย 18 ปี ที่ถูกครูพละปาแก้วใส่กกหูซ้ายอย่างรุนแรง ทำให้เส้นประสาทคู่ที่ 7 อักเสบ ส่งผลให้ปากเบี้ยว ตาซ้ายหลับไม่สนิท และยิ้มมุมปากได้ข้างเดียว ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อ ก.ย. 59 ก็ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นกัน

ยอมตาย หากรักษาไม่หาย…
น้องทรายเผยกับทีมข่าวว่า วินาทีแรกที่เห็นความผิดปกติบนหน้า หลังถูกปาแก้วเมื่อ 8 ส.ค. 59 ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น เครียดและทุกข์ใจมาก ความมั่นใจในตัวเองสิ้นสลายทันที เคยคิดฆ่าตัวตาย หากรักษาไม่หาย…

“รู้สึกแย่มากๆ ตอนหน้าเบี้ยว ไม่กล้าออกบ้าน ไม่กล้าเข้าสังคม ไม่กล้าคุย ไม่กล้าสบตาใคร รอยยิ้มหายไปจากหน้าเลย กระจกถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ส่อง จิตใจหดหู่มาก ข้าวก็กินไม่ลง”

ผู้สื่อข่าวฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจตาม

ไม่มีเงินรักษา จึงโทร.หามูลนิธิปวีณาฯ…
ร่วมเดือนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ระทมใจ น้องทรายกลัวหน้าไม่หายจึงตระเวนรักษากับโรงพยาบาลหลายแห่ง โดยนายไพฑูรย์ แกลงกระโทก อายุ 58 ปี ครูพละที่ก่อเหตุให้เงินช่วยเหลือเกือบ 4 หมื่นบาท แต่อาการไม่ดีขึ้น และหากรักษาไม่ถูกวิธีอาจพิการที่หน้าไปตลอดชีวิต แพทย์แนะว่าทางเดียวที่จะหายเป็นปกติอาจต้องรักษาโดยผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เงินรักษาสูงถึง 3 แสน

เมื่อตกลงกับครูพละที่ก่อเหตุเพื่อให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้ น้องทรายจึงโทร.ขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์กรสาธารณประโยชน์) รุ่งขึ้นจึงเดินทางมาที่มูลนิธิฯ เมื่อ 13 ก.ย. 59

มูลนิธิปวีณาฯ จึงช่วยประสานงาน กับ รพ. ยันฮี ซึ่งร่วมงานกันมาเกือบ 20 ปี เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีเด็กยากจนที่ต้องเข้ารับการรักษา ทาง รพ. ก็ยินดีช่วยรักษาให้ฟรี กรณีของน้องทรายนี้เป็นครั้งที่ 10 แล้ว

ยันฮีระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 4 สาขา รักษา…
กว่าใบหน้าน้องทรายจะหายปกติ รพ.ยันฮี ต้องระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันรักษาหลายส่วน คือ นพ.สุธน พิศูทธินุศาสตร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ดูเรื่องกายภาพบำบัด, นพ.นเรศศักดิ์ เหล่าสงวนเอก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท, นพ.อภิชัย ชัยดรุณ อายุรแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม, พญ.ปาริฉัตร หวานฉ่ำ แพทย์ประจำศูนย์ไฮเปอร์แบริค

มีการนัดมา Admit เพื่อรักษา ดังนี้

Admit ครั้งที่ 1
(16 ก.ย. – 9 ต.ค. 59) รวม 24 วัน
ได้ให้ยาเพรดนิโซโลนรับประทานเป็นเวลา 10 วัน, วิตามินบีทางเส้นเลือด ได้แก่ ไทอะมีน, ไรโบฟลาวิน, ไนอะซิน, ไพริด็อกซิน และปรับเป็นวิตามินบีชนิดรับประทาน ได้แก่ ไทอะมีน, ไพริด็อกซิน, โคบาลามิน ร่วมกับกายภาพบำบัด, การฝังเข็ม และให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% (ไฮเปอร์แบริค) ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. 59 อาการหลับตาข้างซ้ายค่อยๆ ดีขึ้น มุมปากซ้ายเริ่มขยับได้

Admit ครั้งที่ 2
(17 ต.ค. – 25 ธ.ค. 59) รวม 70 วัน
ได้ให้วิตามินบีรับประทาน ได้แก่ ไทอะมีน, ไพริด็อกซิน, โคบาลามิน ร่วมกับกายภาพบำบัด, การฝังเข็ม และการให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% (ไฮเปอร์แบริค) อาการหลับตาข้างซ้ายดีขึ้น มุมปากซ้ายขยับได้มากขึ้น

Admit ครั้งที่ 3
(16 ม.ค. 60 – 10 มี.ค. 60) รวม 54 วัน
ได้ให้วิตามินบีรับประทาน ได้แก่ ไทอะมีน, ไพริด็อกซิน, โคบาลามิน, ร่วมกับกายภาพบำบัด, การฝังเข็ม และการให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% (ไฮเปอร์แบริค) แพทย์ตรวจร่างกายพบว่า น้องทรายหลับตาข้างซ้ายได้สนิทขึ้น มุมปากซ้ายขยับได้ดีขึ้นมาก

รักษาไม่ยาก แต่ต้องรักษานาน…
“นพ. สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) รพ.ยันฮี ยืนยันกับทีมข่าวว่า อาการน้องทรายหาย 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว เคสนี้รักษาไม่ยาก แต่ใช้เวลารักษานานสุดถึง 5 เดือนเพราะต้องช่วยกระตุ้นเส้นประสาทคู่ที่ 7 ให้กลับฟื้นตัวและกลับมาใช้งานได้ปกติ

“ตอนนี้ระบบเส้นประสาทหายปกติเต็มร้อย น้องทราย ขยับกล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าได้หมดแล้ว ยิ้มได้ ดื่มน้ำได้ หลับตาได้สนิท พูดได้ตามปกติ หน้าไม่เบี้ยว ปากไม่เบี้ยว จากนี้ก็นัดมาทำกายภาพเดือนละครั้งเพราะกล้ามเนื้อตรงแก้มซ้ายอ่อนแรงนิดหนึ่ง อีกสัก 5-6 เดือนก็หายขาด ค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด 3 แสนห้าหมื่นบาท ต้องใช้ทีมแพทย์ช่วยกันรักษา เพราะเส้นประสาทคู่ที่ 7 อักเสบ ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน เมื่อกล้ามเนื้อไม่ทำงานจะลีบและตอบลง

น้องทรายต้องทำกายภาพอาทิตย์ละ 5 วัน โดยใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อ กระตุ้น เราเรียกว่าคลื่นอัลตราซาวนด์ไปจี้ที่กล้ามเนื้อให้บีบตัว คลายตัวเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้คงที่ กินยาบำรุงไม่ให้เส้นประสาทผอมไปกว่านี้ ฝังเข็มวันละครั้งๆ ละ 40 นาที อาทิตย์ละ 5 วัน เพื่อกระตุ้นให้เส้นประสาทเจริญเติบโต งอกตัว แล้วให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ (ไฮเปอร์แบริค) เสริมเข้าไป ทำวันละ 2 ชั่วโมง จนครบ 40 วัน หลังจากนั้นเปลี่ยนมาทำเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน คือ จันทร์ พุธ ศุกร์ เป็นเวลา 70 วัน เพราะว่าเส้นประสาทกับสมอง ต้องใช้ออกซิเจนเป็นอาหารในการสร้างเซลล์ใหม่”

ไฮเปอร์แบริค เครื่องรักษาสารพัดโรค…
วิธีรักษาโดยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือ ไฮเปอร์แบริค เป็นเครื่องที่ช่วยรักษาโรคเด็กออทิสติกที่สมาธิสั้น อัมพฤกษ์ อัมพาต แผลอักเสบเรื้อรัง เช่น แผลเบาหวาน หรือแผลหลังผ่าตัด และโรคยอดฮิตของคนยุคนี้คือ ไมเกรน คุณหมอชี้แนะด้วยความห่วงใยอีกว่า หากเรา หรือญาติหน้าเบี้ยวต้องรีบพาไปหาหมอทันที เพราะยิ่งรักษาช้าก็หายช้า หรือถ้าไม่รักษาก็อาจพิการไปตลอดชีวิต

“มันเป็นตู้ที่มีลักษณะกลมรีเหมือนแคปซูล เมื่อคนไข้เข้าไปในตู้ ปิดฝาแล้วปล่อยออกซิเจนเข้าไปในตู้ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วปรับแรงดันให้สูงขึ้นกว่าภายนอก เพราะความดันสูงจะผลักออกซิเจนเข้าไปในร่างกายได้มากขึ้น ปกติอากาศทั่วๆ ไปที่เรานั่งอยู่มีออกซิเจน 21 เปอร์เซ็นต์ อย่างเคสน้องทรายรักษาวิธีนี้ร่วมด้วยก็ทำให้สมองกับเส้นประสาทได้ออกซิเจนมากขึ้น ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น โรคเส้นเลือดในสมองตีบก็ช่วยรักษาได้ ถ้าปล่อยให้เส้นเลือดตีบมากๆ ก็ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ได้

สาเหตุที่ทำให้ปากเบี้ยวนอกจากอุบัติเหตุอย่างรุนแรงเหมือนน้องทรายเจอแล้ว อาจมาจากเชื้อไวรัส หรือเชื้องูสวัดที่ขึ้นบริเวณคอ กกหู หรือใบหน้า ซึ่งเส้นประสาทคู่ที่ 7 ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อตรงริมฝีปาก แก้ม คิ้ว และหนังตา เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเส้นประสาทคู่นี้ไม่ทำงาน กล้ามเนื้อเหล่านี้จะหยุดทำงานด้วย ข้อควรปฏิบัติทันทีเมื่อเพื่อน ญาติพี่น้องมีอาการปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท ต้องรีบไปหาหมอ อย่าปล่อยให้เกิน 7 วัน”

เจ็บเจียนตาย เบื่อสุดชีวิตก็ต้องทน เพราะอยากหาย…
จากเด็กนักเรียนที่สนุกสนานกับเพื่อนยามว่างจากเรียน ออกไปไหนมาไหนได้ตามสบาย กลายมาเป็นคนไข้ จับเจ่าอยู่แต่ในโรงพยาบาล ไม่ได้ออกไปไหน ใช้ชีวิตวนเวียนกับการรักษาที่ต้องเจ็บตัวทุกวัน น้องทรายยอมรับกับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเศร้าและเหงาบ้าง แต่ต้องอดทนเพื่อให้หน้ากลับมาปกติเหมือนเดิม

“วันแรกที่รักษาตัวทุกอย่างดูน่ากลัวหมด เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมานอนโรงพยาบาล และยังนอนมาราธอนหลายเดือนด้วย

การรักษาที่เจ็บปวดมากที่สุด กลัวมากที่สุด คือ ฝังเข็ม เพราะทรายเป็นคนที่กลัวเข็มอยู่แล้ว กลัวจนตัวสั่น หน้าซีด ผ่านครั้งแรกไปได้ทรายก็ปรับตัวจนความกลัวค่อยๆ หายไป พอฝังเข็มทุกๆ วันติดต่อกันประมาณเดือนสองเดือนหน้าช้ำเขียวและเริ่มชิน

จริงๆ ตอนฝังเข็มมันก็ไม่เจ็บมาก เจ็บพอทนได้ จะเจ็บเป็นบางจุด เจ็บตรงแก้ม แต่ตรงปากเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาไหล หน้าผากไม่เจ็บ แต่เจ็บแค่ไหนก็ต้องสู้และอดทน ไม่งั้นก็ไม่หาย

เจ็บตัวช่วงรักษานั้นไม่เท่าไรหรอกค่ะ เจ็บทุกวันจนชินแล้ว และเจ็บไม่นานก็หาย แต่ทรายต้องทนกับความเบื่อที่ต้องอยู่กับอะไรเดิมๆ ใส่แต่ชุดของโรงพยาบาล ไม่ได้ออกไปไหนเลย เพราะต้องอยู่ในความดูแลของหมอมันทรมานมากกว่า

มีท้อบ้างเหมือนกัน เพราะชีวิตปกติ คือ ไปโรงเรียน ได้เจอเพื่อน พูดคุยหยอกล้อเล่นกัน แต่อยู่โรงพยาบาลเจอแค่หมอ นางพยาบาล เพื่อนๆ ก็มาเยี่ยมบ้างนานๆ ที เวลาเบื่อทรายก็แชตกับเพื่อน อ่านหนังสือ วาดรูปบ้าง

พอมาอยู่โรงพยาบาลกิจวัตรประจำวัน คือ ตีห้าครึ่งวัดความดัน แดดเริ่มออกก็ดูทีวี รอหมอมาตรวจ กินข้าวเช้าเสร็จ 10 โมงไปทำไฮเปอร์แบริค เสร็จประมาณเที่ยงก็กินข้าว บ่ายสองไปฝังเข็ม เสร็จบ่ายสาม สี่โมงเย็นไปทำกายภาพ 20 นาที แล้วกลับมาพักที่ห้อง กินข้าวเย็น พักผ่อนและเข้านอน

ตอนทำไฮเปอร์แบริคไม่น่ากลัวเลย เข้าไปนอนอยู่ในถังเฉยๆ แต่ก็น่าเบื่อเหมือนกัน เอาหนังสือเข้าไปอ่านก็ไม่ได้ เพราะห้ามเอาสิ่งของต่างๆ เข้าไป”

ลูกเสียโอกาสเรียน แม่สูญเสียรายได้…                                                              

นับเป็นข่าวดีที่วันนี้น้องทรายหาย 90 เปอร์เซ็นต์ ปากหายเบี้ยวจนยิ้มอย่างสุขใจ หลับตาซ้ายได้สนิท ไม่แสบตาเพราะน้ำเข้าตาเวลาล้างหน้าอีกต่อไป กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุข และกลับไปช่วยพ่อแม่ทำสวน ทำไร่มันสำปะหลังที่ จ.นครราชสีมา

“ตอนนี้หนูได้ชีวิตกลับคืนมาเหมือนเดิมแล้ว ดีใจมาก มีความสุขมากๆ สภาพจิตใจดีแล้ว ไม่ต้องหลบหน้า หลบสายตาคนอื่นอีกต่อไป มีความมั่นใจ ร่าเริงได้เหมือนเดิม กล้ายิ้ม กล้าพูด กล้าคุยกับคนอื่นเหมือนเดิม กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเคย ช่วยพ่อกับแม่ปลูกมันสำปะหลัง ทำสวน

ทรายรักษาตัวนาน 5 เดือน ก็ทำให้สูญเสียโอกาสดีๆ ในชีวิต อย่างเรื่องเรียนก็ต้องดร็อปไว้ และให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเรื่องขอย้ายโรงเรียน เพราะครอบครัวและญาติๆ ไม่อยากให้เรียนที่เดิม ส่วนทางโรงเรียน ไม่ได้ติดต่อมาคุยเรื่องเรียน เรื่องย้ายเลย และทรายเพิ่งได้เอกสารการย้ายโรงเรียนมาไม่กี่วัน ส่วนแม่ก็ต้องสูญเสียรายได้เพราะต้องมาอยู่ดูแลทรายที่โรงพยาบาล”

เครียดหนัก หมดกำลังใจอย่างแรง กว่าจะย้ายโรงเรียนได้…
กระทรวงศึกษาธิการรับเรื่องจากมูลนิธิปวีณาฯ และให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 (สพม.31) ช่วยประสานงานเรื่องขอย้ายจากโรงเรียนโชคชัยสามัคคี อ.โชคชัย ไปเรียนที่โรงเรียนหนองบุญมากประสงค์วิทยา อ.หนองบุญมาก แต่น้องทรายต้องผิดหวัง และคิดหนักจนเครียด เพราะต้องเริ่มต้นเรียน ม.4 ใหม่

“กังวลใจมาก กลัวไม่มีที่เรียน กลัวไม่ได้เรียนต่อ ไม่รู้เลยว่าจะตัดสินใจยังไงดี ถ้าไปเรียนที่ใหม่ก็ต้องเริ่มต้นเรียน ม.4 และเปลี่ยนจากสายศิลป์มาเรียนสายวิทย์ เพราะโรงเรียนใหม่ขนาดเล็ก ไม่มีสอนสายศิลป์ อีกอย่างทรายอยากกลับไปเรียนต่อ ม.5 มากกว่า”

น้องทรายจึงเลือกโรงเรียนแห่งใหม่โดยยึดมั่นว่าต้องเข้าเรียนต่อ ม.5 เท่านั้น และโชคดีที่โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ อยู่ห่างจากบ้านน้องทราย 18 กิโลเมตร รับเข้าเรียนต่อ ม.5 เมื่อ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา นัดมอบตัว 7 เม.ย. และเปิดเทอม 15 พ.ค.นี้ ซึ่งคุณไพบูลย์ สนิทรัมย์ ครูชำนาญการพิเศษรับเรื่องแทน ผอ. โดยมีคุณพรปวีณ์ ปิยากูล ผอ.กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา และ คุณไพลิน หวังกลุ่มกลาง นักวิชาการศึกษาชำนาญการ สพม.31 พาไปติดต่อ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะเลือกเรียนสายศิลป์อังกฤษหรือจีน น้องทรายตอบด้วยน้ำเสียงดีใจว่า

“ถ้าเลือกได้ อยากเรียนศิลป์อังกฤษ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่ไม่ต้องไปเริ่มเรียน ม.4 ใหม่ก็ดีใจแล้วค่ะ”

ส่วนความคืบหน้าเรื่องคดี น้องทรายบอกว่าให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป กับครูพละที่ปาแก้วก็ไม่เคยโทร.มาคุย หรือมาเยี่ยมเลย

ผู้สื่อข่าวจึงโทร.หาครูพละ ผู้ก่อเหตุ เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดี ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พบว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนของอัยการ ขออนุญาตไม่ให้รายละเอียด เพราะยังทำใจอยู่ และรีบวางสายทันที…

ชีวิตคนหนึ่งหลุดพ้นจากความเศร้าโศกา นั่นเป็นเพราะความร่วมมือกันของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งหาก “น้องทราย” ได้รับการรักษาช้า จะพิการทางใบหน้าไปตลอดชีวิต

ที่มา – ไทยรัฐ

TV Pool OnlineTV Pool OnlineTV Pool OnlineTV Pool OnlineTV Pool Online