เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการค้า เมื่อเพจเฟซบุ๊ก “แบบนี้ก็ได้หรอ” ได้โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ชายกลุ่มหนึ่งอ้างตัวเป็นตำรวจเพื่อขอตรวจจับเครื่องหมายร้านค้า โดยไม่มีเอกสารขอตรวจค้นแต่อย่างใด พร้อมทั้งไม่โชว์บัตรเจ้าหน้าที่ให้กับผู้ประกอบการค้าอีกด้วย จากนั้นเมื่อเจ้าของร้านและบุคคลในเหตุการณ์ได้ทำการบันทึกภาพวิดีโอ ก็มีชายรายหนึ่งเดินมาพร้อมกับพูดในเชิงข่มขู่ถึงพรบ.คอมพิวเตอร์ หากมีคลิปวิดีโอที่ถ่ายติดหน้าตนออกไปในโซเชียล ทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างชายกลุ่มนี้และเจ้าของร้าน
โดยเพจเฟซบุ๊ก “แบบนี้ก็ได้หรอ” ระบุข้อความทั้งหมดว่า…
“#ชายอ้างตัวเป็นตำรวจ ไม่โชว์บัตร ขอตรวจจับเครื่องหมายการค้า !!
ช่วยแชร์กันหน่อยคับ แม่ค้าขายของทำมาหากินสุจริตมาจับหาข้อหานู้นนี่นั้น แต่พวกค้ายาเสพติดพวกขโมยของพวกค้าอาวุธเถื่อนไม่จับ มาจับคนหาเช้ากินค่ำ อยู่ที่มือของพวกเค้าคือถุงนาฬิกาแค่นาฬิกาหลุดจำนำยังจับ #เรื่องนี้เรื่องจริงโต้รุ่งขอนแก่นครับ คนอีสานใจดีแต่ไม่เคยยอมใครเพราะไม่ได้ทำผิด”
ทั้งนี้ หลังจากคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ ทำให้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนก ต่างมองว่าการที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่มีการแสดงบัตรและหลักฐานหมายค้น ถือเป็นการทำผิดหรือสามารถแอบอ้างได้หรือไม่นั้น
พ.ต.อ.ณพวัฒน์ อารยางกูร รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรทางเศรษฐกิจ หรือปอศ. เคยเผยถึงการลงพื้นที่จับกุมผู้ค้าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจแม้จะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แต่การลงพื้นที่ตรวจค้น หรือจับกุม ต้องแสดงตนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบัตรประจำตัว หมายค้น ใบบันทึกการแจ้งความ โดยเดินทางไปพร้อมเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจ
“การเข้าตรวจค้น หรือจับกุมต้องเป็นไปอย่างสุภาพ นุ่มนวล ที่สำคัญต้องแสดงตนอย่างเปิดเผย รวมทั้งแสดงเอกสารต่างๆให้ครบถ้วนตามขั้นตอน ที่ผ่านมาปัญหาที่พบบ่อยคือ เจ้าหน้าที่ลิขสิทธิ์บางบริษัทพกแค่ใบบันทึกประจำวันเฉยๆ แต่ไม่มีหมายค้น แบบนี้ใช้ไม่ได้ หรือบางครั้งเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่มา แต่มอบอำนาจให้บริษัทที่จัดเก็บ พอตรวจสอบกลับพบว่าใบมอบอำนาจหมดอายุ ส่วนเหตุที่เจ้าหน้าที่มักแต่งตัวนอกเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากสินค้านั้นขนย้ายถ่ายเทได้ จึงต้องแต่งกายนอกเครื่องแบบ แต่พอไปถึงก็ต้องแสดงตน แสดงหลักฐานอยู่ดี” พ.ต.อ.ณพวัฒน์ กล่าว.