เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

การประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ “ความตกลงโลกร้อน” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดปฏิกิริยาสูงมากทั้งในระดับนานาชาติและในสหรัฐอเมริกาเอง ในสหรัฐปฏิกิริยามีทั้งทางบวกและลบแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นลบและเต็มไปด้วยเสียงต่อว่าต่อขานตั้งแต่ขนานเบาอย่าง“สายตาสั้น”เรื่อยไปจนถึงขนาดหนักหนาสาหัสอย่าง“ทรัมป์กำลังนำพาประเทศไปสู่หายนะ” เป็นอาทิ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ก่อให้เกิด “ปฏิกิริยาพิเศษ” ที่น่าสนใจและชวนติดตามขึ้นตามมาอีกด้วย ปฏิกิริยาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็คือ การรวมตัวกันของรัฐ, เมือง และบริษัทธุรกิจจำนวนมากขึ้นเป็นกลุ่มก้อน เป็นพันธมิตรกันหลวม ๆ เป้าหมายก็เพื่อรวมตัวกันพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศลงให้ได้ในสัดส่วนเท่ากับที่รัฐบาลอเมริกันชุดที่ผ่านมาให้สัญญาไว้กับที่ประชุมกรุงปารีส รัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก่อนหน้านี้เคยยื่นข้อเสนอต่อที่ประชุมของสหประชาชาติแบบเดียวกับที่ชาติอื่นทั่วโลกแทบทุกชาติทำในการประชุมที่กรุงปารีส ตกลงกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐไว้ที่ 26-28% เมื่อเทียบกับระดับที่สหรัฐอเมริกาเคยปล่อยออกมาในปี 2005 เป็นเป้าหมายลำดับขั้น เพื่อให้บรรลุผลให้ได้ภายในปี 2025 อันเป็นสิ่งที่ทรัมป์ประกาศชัดว่ารัฐบาลของตนจะไม่ทำ แน่นอนในด้านหนึ่ง การรวมตัวกันเป็นขบวนการต้านแนวคิดของทรัมป์ในเรื่องนี้ เดินไปตามแนวทางที่ขัดแย้งกันระหว่างพรรคการเมือง ทำให้เรื่องที่ไม่ควรเป็นการเมืองกลายเป็นเรื่องการเมืองไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงแง่มุมบางอย่างที่ไม่เคยปรากฏ นั่นคือ การรวมตัวกันของเมือง รัฐ และบริษัทเอกชนเพื่อปฏิเสธ “การนำ” ในทิศทางที่ผิดของรัฐบาล พูดอีกอย่างก็คือ รัฐบาลทรัมป์สูญเสียการนำบางส่วนให้กับกลุ่มก้อนที่เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่นี้ กลุ่มต่อต้านใหม่นี้เคลื่อนไหวในเชิงรุกอย่างรวดเร็วพูดกันถึงขนาดจะรวมกันเข้าไปแบกรับพันธะผูกพันทั้งหมดแทน”รัฐบาลสหรัฐอเมริกา”ได้หรือไม่ ข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการคือในกลุ่มก้อนที่รวมตัวกันเป็นขบวนการต้านดังกล่าวนี้ มีบริษัทธุรกิจใหญ่น้อยรวมอยู่ด้วยกว่า 100 บริษัท ตั้งแต่บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง “เทสลา” ซึ่งอีลอน มัสก์ ประกาศถอนตัวออกจากทีมที่ปรึกษาของทรัมป์ทันที เรื่อยไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก อาทิ เจเนอรัล อีเลคทริค, ดิสนีย์, แอปเปิล อิงก์, เฟซบุ๊ก, กูเกิล และไมโครซอฟท์ นอกเหนือจากบริษัทเหล่านี้แล้ว รัฐหลายรัฐ อาทิ นิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนีย, วอชิงตัน และคอนเนกทิกัต เป็นต้น ก็เข้าร่วมขบวนการต้าน ซึ่งว่ากันว่า เป็นพื้นที่รวมกันแล้วมีจีดีพีมากถึง 1 ใน 4 ของจีดีพีรวมของสหรัฐอเมริกาทีเดียว ในเวลาเดียวกัน ก็น่าสังเกตว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลของรัฐจำนวนไม่น้อยกว่า 30 รัฐ ดำเนินมาตรการรองรับแนวทางลดการใช้เชื้อเพลิง ฟอสซิลและเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด ผู้นำบริษัทธุรกิจเหล่านี้มองเรื่องสิ่งแวดล้อม, พลังงานสะอาด ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคต รวมทั้งยังเป็นการตลาดที่สำคัญ ผู้นำธุรกิจเหล่านี้ไม่ต้องการยก “การเป็นผู้นำ ในเรื่องนี้ให้กับจีนหรือยุโรป เหมือนอย่างที่ทรัมป์ตัดสินใจทำลงไป หลายต่อหลายคนพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทรัมป์เลิกล้มความคิดที่จะถอนตัว  “เจฟฟ์ อิมเมลต์” ประธานและซีอีโอของเจเนอรัล อีเลคทริค บอกทันทีที่ทรัมป์ประกาศล้มข้อตกลงปารีสว่า “ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่เป็นจริง ดังนั้นตอนนี้อุตสาหกรรมทั้งหมดต้องเป็นแกนนำในเรื่องนี้ เลิกพึ่งพารัฐบาล” ศาสตราจารย์วิลเลียม รีส นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ระบุว่า โลกกำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับสหรัฐ และถ้าบริษัทอเมริกันไม่เคลื่อนไหวไปในทิศเดียวกับคู่แข่งระดับโลก ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังกับเทคโนโลยีดั้งเดิม กระบวนการผลิตแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตอันใกล้ ในทรรศนะของรีส การเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซ รวมทั้งความพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหินของทรัมป์ “เป็นความคิดเมื่อศตวรรษที่ 19” ซึ่งไม่มีทางใช้ได้ผลสำหรับธุรกิจที่ต้องการส่วนแบ่งการตลาดระดับโลกในสภาวะแวดล้อมของศตวรรษที่ 21 และยืนยันว่า บริษัทที่มีความคิด ไม่อยากติดอยู่ในศตวรรษที่ 19 เหมือนทรัมป์แน่นอน สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดก็คือ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้กลายเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาลทรัมป์ ทั้งจากในระดับท้องถิ่นและบริษัทธุรกิจส่วนใหญ่ ส่วนผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไร เป็นกรณีศึกษาที่ชวนติดตามอย่างยิ่ง

Cr. ประชาชาติธุรกิจ

by TVPOOL ONLINE

TV Pool OnlineTV Pool Online