เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณีมีการแชร์คลิปเหตุการณ์รถเก๋งโตโยต้า ยาริส สีเทา ทะเบียน สย 9119 กรุงเทพมหานคร ที่มี นายนิอับดุลอาชิส มิเงาะ อายุ 35 ปี ขับมาปาดหน้าจอดขวางรถกะบะอีซูซุ ไฮแลนเดอร์ สีดำ ทะเบียน บร 8824 สระบุรี ของนายอนุสรณ์ สิริพลภักดี อายุ 24 ปี และนางธนิตา แซ่ลี้ อายุ 22 ปี สามีภรรยาอาชีพพ่อค้าตลาดนัด พร้อมลูกสาววัย 2 ขวบ ก่อนที่หนุ่มยาริสจะคว้าไม้เบสบอลมาทุบกระจกหลังรถกระบะ แล้วขับไล่ล่ากันจนรถกระบะเสียหลักไปพุ่งชนปิกอัพนิสสัน สีดำ ทะเบียน ชพ 896 กทม ที่จอดอยู่ข้างทางจนเสียหายไปอีกคัน

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ สน.คันนายาว พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว พร้อมด้วย ร.ต.อ.หรัสชัย ศรีสุมัง รอง สว.(สอบสวน) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบรถคู่กรณีทั้ง 2 คัน เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม

ต่อมา นายนิอับดุลอาชิส ได้เข้าพบตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ก่อนจะเปิดเผยอ้างว่า วันนั้นรถกระบะจะกลับรถในระยะกระชั้นชิด ตนวิ่งมาทางตรงก็รีบหักรถเบี่ยงขวา จนเกือบปีนเกาะกลาง แต่ก็ทำให้กระจกมองข้างเฉี่ยวชนกับท้ายกระบะ คิดว่าเขาคงจอดเพื่อเคลียร์ ที่ไหนได้กลับขับรถต่อไปเสียอย่างนั้น จึงตัดสินใจขับตามและไปปาดหน้าเพื่อให้หยุด ซึ่งไม่รู้ว่ามีเด็กและผู้หญิงอยู่ด้วยเพราะรถเขาติดฟิล์มดำมืด ก่อนจะถือไม้เบสบอลลงไปเพื่อป้องกันตัวไม่ได้หวังจะตีรถ เขากลับไม่ยอมเคลียร์และยังหักซ้ายขับรถไปอีก ด้วยความตกใจจึงเหวี่ยงไม้เบสบอลออกไปแต่ไม่โดน จากนั้นก็รีบซิ่งตามไปอีก ส่วนที่ชนท้ายเขาเป็นเหตุสุดวิสัย ก่อนที่ตนจะลงไปถามอีกรอบว่า ทำไมพี่ไม่จอดคุยทำไมถึงหลบหนี

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ายกระบะปล่อยคลิปมาแค่นั้น มันยังไม่หมด ผมกลายเป็นอันธพาลในสายตาคน เพียงแค่เปิดกระจกแล้วบอกว่าไปคุยที่โรงพัก เท่านั้นเรื่องคงไม่เกิด ยอมรับว่าผิดเรื่องไม้เบสบอลและตอนชนท้ายเขา ขอโทษที่ทำให้เด็กบาดเจ็บ ผมก็มีลูก ผมเข้าใจดี เราตกลงค่าเสียหายกันแล้ว แต่เขายังปล่อยคลิปอีก ผมเลยแจ้งความกลับในข้อหา ทำให้รถผมเสียหายจากการกลับรถกระชั้นชิด อยากขอโทษสังคม ขอโทษคู่กรณี”

ด้าน พ.ต.อ.สิงห์ เผยว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยังให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันในบางส่วน เบื้องได้ตั้งข้อหากับหนุ่มยาริสไว้ 3 ข้อหา 1.ขับรถประมาทหวาดเสียว 2.ทำให้เสียทรัพย์ และ 3.ทำร้ายร่างกายผู้อื่น และถ้าหากต้องรักษาตัวเกิน 20 วันก็จะแจ้งข้อหาเพิ่ม ส่วนที่นายนิอับดุล แจ้งข้อหากลับนั้นต้องรอการตรวจสอบอีกครั้ง

ที่มา – เดลินิวส์