เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เรื่องราวที่น่าเศร้าอีกเรื่องที่ถูกแชร์ส่งต่อกันอย่างมากมายในโลกโซเชียลขณะนี้ เป็นเรื่องที่คุณครูรายหนึ่งได้โพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านทางเฟซบุ๊ก “อลิสตรา อะกาลิโก” เมื่อลูกศิษย์ตัวน้อยป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซ้ำร้ายพ่อต้องออกจากงานมาดูแล ทำให้ขาดรายได้ต้องขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อนำมารักษาลูกสาว…

 

ทั้งนี้ รายละเอียดดังกล่าวถูกระบุเอาไว้ว่า…“สวัสดีค่ะ เพื่อนชาวเฟซบุ๊กทุกคนรบกวนช่วยกันแชร์ต่อด้วยค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าเราเป็นครูประจำชั้น เด็กนักเรียน ป.2 ที่ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเนื้องอก แต่เมื่อวันพุธที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาพ่อของเด็กได้มาคุยกับเราขอหยุด 3-4 เดือน เพราะน้องป่วยเป็นมะเร็ง ตอนนี้ลามไปถึงกระดูกเชิงกรานแล้ว ส่วนที่พีคไปกว่านั้นคือพ่อน้องต้องขายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งลาออกจากงาน (ผู้จัดการบอกให้เลือกจะเอาลูกหรือจะเอางาน) เขาจึงลาออกจากงานโดยไม่ลังเล (เป็น Chief Manager ของโรงแรมแห่งหนึ่ง) พาน้องเดินทางไปรักษาตัวเรื่อยมา (เดินทางขึ้นลงกรุงเทพฯ บ่อยมาก) จนเริ่มหมดเนื้อหมดตัว ต้องไปกู้หนี้นอกระบบมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางพาน้องไปรักษา

ด้วยความเมตตาของ มูลนิธิ พอ.สว. รับน้องไปรักษาฟรีค่ะ เป็นเคสที่พบได้ประมาณว่า 1 ในล้าน เรื่องเหมือนจะจบแบบแฮปปี้แต่ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น แพมเพิส อุปกรณ์ทำแผล ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ที่พัก ค่าใช่จ่ายระหว่างน้องพักรักษาตัว มันกัดกร่อนคุณพ่อร้ายแรง พอๆ กับเชื้อมะเร็งที่กัดกินน้องอยู่ทุกวัน ตอนนี้น้องรักษาตัวที่ รพ.ศิริราช ชื่อ ด.ญ. กีรติญาภา จันทร์หอม น้องเป็นเด็กดี มีจิตอาสา ร่าเริงแจ่มใสและอดทนมากๆ มาโรงเรียนทุกวันทั้งๆ ที่เจ็บขนาดนี้ น้องเค้ากำลังใจดีมาก พวกเราเหล่าคุณครูของน้องได้ช่วยกันออกค่าเดินทางไปรักษาไปบ้างตามกำลังทรัพย์ แต่การเดินทางขึ้นลงกรุงเทพ-พังงา หลายครั้ง ก็มีค่าใช้จ่ายต่างๆ

 

ล่าสุด ครูรายนี้ได้ระบุอีกว่า…น้องได้รับยา “ไบโอไมซิน” ซึ่งเป็นยาตัวเดียวกับที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง แต่คุณหมอได้แจ้งให้คุณพ่อได้ทราบว่า น้องเป็นโรค….(พ่อจำไม่ได้เพราะเป็นภาษาอังกฤษอังกฤษ) พ่อจึงมาแจ้งครูว่าเป็นมะเร็งตามความเข้าใจของพ่อค่ะ หลังจากนั้นคุณครูจึงไปดูในเอกสารให้การยินยอมเพื่อเข้ารับการรักษาที่พ่อส่งมาให้ดูทางไลน์ และสืบค้นข้อมูลต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ต จึงทำให้ทราบว่า นี่คือโรค “Klippel Trenaunay Syndrome” ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของหลอดเลือดแดง หรือ ดำ หรือ ต่อมน้ำเหลือง ที่ทำงานผิดปกติ จึงทำให้ กล้ามเนื้อบิดเบี้ยว ผิดรูป หรือโต ซึ่งในกรณีของน้อง เป็นครบ ทั้ง 3 หลอดเลือดแดง. ดำ และต่อมน้ำเหลือง ซึ่งพบได้ยากมาก จึงทำให้อาการน้องเป็นมากกว่าคนที่เป็นโรคนี้โดยทั่วไป และโชคร้ายหน่อยที่น้องได้รับการรักษาไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากพ่อประสบปัญหาด้านทางเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดการลุกลามไปจนถึงกระดูกเชิงกราน และโรคนี้ ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ( มะเร็งตัดทิ้ง รักษาตัวดีๆ อาจจะหายได้ค่ะ ) เพราะหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลืองอยู่ในร่างกายเราค่ะ ถ้าเราตัดทิ้ง คงไม่ต้องอธิบายผลลัพธ์นะคะ

 

การรักษา ต้องรักษาตามอาการและตอนนี้ทางโรงพยาบาล รับน้องไว้ดูแล 3 เดือนค่ะ เพื่อให้น้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่วนคุณพ่อ ก็จะกลับมาสมัครงานและเมื่อได้รับเงินจำนวนหนึ่ง ก็จะปิดรับการช่วยเหลือเนื่องจากคุณพ่อ อธิบายว่า เมื่อน้องไปอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และพ่อไม่ต้องเดินทางขึ้นลง ก็จะขอทำงานเพื่อหารายได้เองต่อไปค่ะ ( แต่ตอนนี้ก็ยังตกงานอยู่ค่ะ)

ที่มา – ทีนิวส์