เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

วงการบันเทิงมันไม่มีคำว่า“สำเร็จรูป” บางคนเข้าวงการมา ไม่คิดว่าจะดังได้ ดันดังขึ้นมาแบบสายฟ้าฟาด เพียงชั่วข้ามคืน แต่อีกหลายคน ก็ใช้เวลาหลายปี  บางคนก็ดัง บางคนก็ดับ คำว่า”ประสบความสำร็จ”ของแต่ละคน จึงไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน ตามวาระ โอกาส โชคชะตา และความสามารถ  

ประเด็นวันนี้ที่อยากเล่าสู่กันฟัง คือ ตัวอย่างของซุปเปอร์สตาร์ที่กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

เชื่อว่าคงไม่มีใครไปถามซุปตาร์อย่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ,บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว”หรือ”ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ว่าวันแรกที่ก้าวเท้าเข้าวงการบันเทิงนั้น ใส่รองเท้าเบอร์อะไร ยี่ห้ออะไร สีอะไร  เพราะคงไม่มีใครจำได้หรอก?

แต่เชื่อว่าพวกเค้าคงจำความรู้สึกที่เคยโนเนม ยังไม่ดัง แล้วเข้าวงการในวันนั้นได้ดีแหละ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป รองเท้าที่เราเคยใส่ในวันแรก อาจเปลี่ยนสภาพจากคู่เก่งมาเป็นคู่เก่า  เปลี่ยนจากถูกเป็นแพง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวตนและความตั้งใจของพวกเค้าเลยสักนิด

ย้อนอดีตกันสักนิด หากยังจำกันได้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลายคนที่เคยดู“เดอะสตาร์ ปี3”น่าจะจำเด็กหนุ่มตัวขาวๆ หน้าตาเป๋อเหลอ เปิ่นๆจากเมืองเหนือได้ดี  เต้นอะไรก็ไม่เข้าจังหวะ ร้องเพลงก็หลงคีย์   พอได้ขึ้นเวทีมาโชว์ของต่อหน้าคอมเม้นท์เตเตอร์สุดหินรุ่นนั้นอย่ง“พี่โจ้ พี่เพชร พี่ม้า”วิจารณ์ให้แทบหงายหลังต่างๆนานา

จำได้ว่า“พี่ม้า อรนภา”เคยจิกว่า“เต้นอะไรไม่รู้กะโหลกกะลา” ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ทน หรือไม่ก็ถอดใจ เก็บกระเป๋ากลับบ้านไปแล้ว  แต่เด็กคนนั้นทนได้ ยิ้มสู้กับคำติติง   เพราะดูทรงแล้วเค้าอยากพัฒนา อยากฝึกฝน ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตในวงการจะมีที่ยืนให้เค้า คนที่ไม่โดดเด่นอะไรสักอย่างหรือเปล่า

แต่จนแล้วจนรอด หนุ่มคนนั้นก็ผ่านเข้ารอบ จนได้ทะลุมาเป็นรองแชมป์อันดับหนึ่งของเดอะสตาร์ปีนั้น  เพราะความเป็นตัวของตัวเอง และทุกวันนี้เค้ากลายเป็นซุปตาร์ไปแล้ว  ใครจะเชื่อว่า“บี้-สุกฤษฎิ์”จะมีวันนี้ได้

ตัดภาพจากเวทีประกวด มาที่บนรถทัวร์สายกรุงเทพ-ขอนแก่น หลายปีก่อน ทุกคืนวันพฤหัสบดี จะเห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดี ใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น เสื้อยืด นั่งรถทัวร์จากขอนแก่น เพื่อมาถ่ายละครที่กรุงเทพฯ ในวันศุกร์-อาทิตย์ ตอนนั้นเขายังโนเนม เป็นดาราหน้าใหม่ ไม่มีใครรู้จัก อาจจะสะดุดตรงที่หน้าตาดีโดดเด้งกว่าคนธรรมดา

หนุ่มคนนั้นนั่งรถเทียวไปเทียวมาทุกอาทิตย์ “ขอนแก่น-กรุงเทพ กรุงเทพ-ขอนแก่น”  เพื่อได้ลองงานใหม่ๆในวงการบันเทิง  เขาไม่รู้เลยว่า จะได้เป็นพระเอกหรือเปล่า หรือจะเป็นแค่ดาราโนเนมที่ไปต่อไม่ได้ เพราะละครยังไม่ออนแอร์ แต่หลังจากนั้น ชีวิตก็พลิกผัน เพราะหนุ่มคนนั้นดังเปรี้ยงปร้าง ไปทั่วประเทศ

ถึงวันนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก”ณเดชน์ คูกิมิยะ”พระเอกเบอร์ต้นๆของเมืองไทย

หากเส้นทางชีวิตของ “บี้-ณเดชน์”ว่าไม่ง่ายแล้ว แล้ว กราฟชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อ“ชมพู่-อารยา อัลเบอร์ต้า  ฮาร์เก็ต”นั้นยิ่งกว่า เพราะทางชีวิตของเธอไม่ได้เปรี้ยงเดียวแล้วดัง “ชมพู่“เข้าวงการมา 20 ปีแล้ว ตอนนั้น อายุ 16-17 เอง  ประกวดมิสมอเตอร์โชว์ (ปีที่เข็ม-รุจิรา ช่วยเกื้อได้ตำแหน่ง) เธอเริ่มต้นที่ช่อง 7 กับบ้านดาราวิดีโอ  จนเป็นที่รู้จัก  เล่นเป็นนางเอกบ้าง นางรองบ้างอยู่หลายปี  จนเรื่องสุดท้ายกับช่อง 7 “ดาวเปื้อนดิน”(นุ่น วรนุช เป็นนางเอก)  ส่วน“ชมพู่”โดนลดชั้นมาเป็นนางร้าย

 

แต่ฝันของเธอไกลกว่านั้น ชมพู่ ไม่ถอดใจและไม่หยุดฝันที่จะเดินต่อ

สุดท้ายหมดสัญญาก็โบกมือลาช่อง 7 มาซบอกช่อง 3 เล่น 2 เรื่องแรก (เพลิงพราย,ไฟโชนแสง) ยังเฉยๆ  แต่พอเป็น“เรยา”ใน”ดอกส้มสีทอง” เท่านั้นแหละ “ชมพู่”ก็กลายเป็นนางเอกซุปตาร์พาสท์ชั้นเทียบเท่า” อั้ม แอน นุ่น”  เป็นเจ้าแม่พรีเซนเตอร์ค่าตัวแพง ไปเดินพรมแดงที่คานส์ แต่งงานกับนักธุรกิจไฮโซ“น็อต วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์” ตอนนี้เตรียมรอคลอดลูกชายฝาแฝด  ชีวิตของเธอ เพอร์เฟคท์แล้ว

ชมพู่ เคยบอกว่า

ตรงนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แม้เราเดินทางมาไกล แต่เราจะค้างฟ้าไปแบบนี้ตลอด ก็เป็นไปไม่ได้ ชมอยากไปมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีครอบครัว มีลูก การได้อยู่ในวงการถือเป็นช่วงเวลาที่ดีไม่ได้คิดอยากจะลากยาวไปตลอด มันก็คงไม่ใช่ เพียงแต่ว่าชมเดินทางมาไกลกว่าจะมีวันนี้

 ที่หยิบยก เอาชีวิต 3 ซุปตาร์มาเล่าให้ฟังเพราะอยากบอกว่า พวกเค้าทั้งหมดใม่เคยทิ้งฝัน และที่ดังได้ ก็เพราะความตั้งใจ รักในอาชีพ มีฝีมือ   โชคหรือดวงอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

บทเรียนก่อนการเป็นคนดังยังมีอีกหลายข้อให้น้องๆรุ่นใหม่ได้เรียนรู้  ชื่อเสียง เงินทอง มาเร็ว ไปเร็ว  เราจะรับมือกับมันยังไง ให้ดังทน ดังนาน เหมือนกับที่รุ่นพี่อย่าง“ณเดชน์-บี้-ชมพู่”ทำได้

 

 

Cr.เจ้เจือก เผือกทุกเรื่อง