เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งพระเอกที่งานรุมความรักในครอบครัวก็แฮปปี้สุดๆ สำหรับ “ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ“ที่ล่าสุดออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่คิดมีลูกคนที่3 แต่ปีหน้าไม่แน่อาจเปลี่ยนใจ รับคนรอบข้างอยากให้มี ลั่นยังไม่อยากทำหมันหวั่นกลัวเจ็บและเผื่อเปลี่ยนใจอยากมีลูก ปลื้มกระแสละครเงินปากผีดี มีทั้งติและชม

ป๋อเผยว่า “ลูกคนเล็กก็ตรวจสุขภาพแล้ว ตอนนี้ก็ยังเฝ้าระวังอยู่ ตอนนั้นเป็นตอน5เดือนแล้วก็รักษาหายขาดแล้ว เพียงแต่ว่าพ่อแม่ก็มีหน้าที่จะต้องคอยเฝ้าระวังคอยสังเกตว่าจะเกิดขึ้นอีกไหม ตอนนี้ก็ผ่านมา5 ปีแล้ว ปกติดี นอกจากเรื่องดื้อแล้วก็ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ถึงขั้นต้องมาตรวจตลอด แต่เพียงว่าให้คุณพ่อคุณแม่เฝ้าระวัง และเรารู้ว่าลักษณะนี้ปกติ ลักษณะนี้ไม่ปกติ เราจะรู้ คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องตรวจสุขภาพด้วย เพราะเราก็อยู่ในวัยที่เรียกว่ามีความเสี่ยงเหมือนกัน อย่างพวกความดัน ไขมัน อะไรต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุสำหรับเรื่องสุขภาพต่อไป ก็ต้องตรวจตลอด แต่ไม่ใช่ตลอดเพื่อวางแพลนมีลูกอีกคนนะ พอแล้ว แต่คนอื่นก็ยุๆกันนะ ไปไหนมาไหนคนก็จะพูดว่าอีกคนสิ คือต้องเข้าใจว่า การมีลูกมันแพงนะ ขำๆ พวกเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าโรงเรียนอีก เลยมีแค่สองคนพอ”

“คุยกับเอ๋เหมือนกันปรึกษาตลอดว่ามีไหม แต่เขาก็บอกอย่าเลย คือยังไงผมกับเอ๋ก็ไม่มีแน่ๆ คนข้างๆมักจะยุ เราก็เคลิ้มเหมือนกันว่าหรือจะเอาอีกสักคนดี แต่ถ้าเป็นชายสามคนก็จะเหมือนครอบครัวพี่เจไปเลย คือปัญหาไม่ใช่ว่าจะเป็นลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ปัญหาคือเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วเราก็ต้องเลี้ยงเขา 3คนอาจจะเยอะไปสำหรับครอบครัวเรา แต่ไม่แน่ปีหน้าอาจนะเปลี่ยนใจเพราะร่างกายยังฟิตอยู่ แล้วก็ยังไม่ได้ทำหมัน เผื่อเปลี่ยนใจอยากจะมี แต่ที่แน่ๆตอนนี้ไม่มี ถามว่ารอคนเล็กโตก่อนก็อาจจะมีส่วนนะ เพราะถ้าคนเล็กสบายแล้วไม่มีอะไรให้เป็นห่วงมากเราก็อาจจะเปลี่ยนใจมีตอนนั้นได้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผมคนเดียวเพราะต้องถามคุณเอ๋ด้วยเพราะว่าคุณเอ๋เขาไม่อยากเสียทรงอีกครั้ง ตอนนี้เขาเริ่มกลับมาผอมหน้าท้องแบนราบ เขากำลังภูมิใจบิดซ้ายบิดขวาหน้ากระจกทุกวัน คือเขาก็มั่นใจในตัวเขาแล้วก็ไม่อยากกลับไปเสียทรงแบบนั้นแล้ว คือทุกอย่างจ้องผ่านเอ๋ก่อน เพราะของเอ๋เป็นในเรื่องของร่างกาย เรื่องของพี่เป็นเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นเหตุผลทั้ง2อย่างเลยมารวมกันว่ายังไม่มี”

“เรื่องละคร กระแสดีมาก หลังๆไปเดินตามห้างสรรพสินค้าไม่มีใครขอถ่ายรูปอะไรเลย ทุกคนมองห่างๆ บางทีก็มาขอเลข เพราะใบ้ตอนนั้นไปแล้วดันออกไง นี่งวดสองแย่เลย บอบช้ำกันเป็นแถบ ขำๆ ตามกันเป็นชุดเลย บางคนก็มารุมประนามพี่นะว่าทำไมไม่เอาให้ออก งวดหน้าค่อยเอาใหม่ หลังๆพี่ไม่ได้คาดหวังเรื่องเรตติ้งนะ พี่คาดหวังทุกกลางเดือนและต้นเดือน ขำๆ ละครก็โอเคต้องขอบคุณแฟนๆทุกท่านที่มีทั้งชมและติด้วย ก็ดีถ้าชมก็ถือว่าดูถ้าติก็ถือว่าดูเหมือนกัน ก็อะไรที่ติก็จะเอาไปแก้ไข ส่วนอะไรที่ชมก็ต้องขอบคุณมากๆ เพราะเรื่องนี้ถ่ายทำแบบไม่มีใครพูดถึงเลย เก็บเงียบเป็นความลับอย่างรูปก็ไม่ลงเพราะเดี๋ยวเห็นความน่ากลัวแล้วไม่ดู แต่พอเห็นจากละครไปแล้วเราก็ลงในไอจีให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก ตอนนี้คนอันฟอลโล่เยอะเลย มีคนบอกเดี๋ยวกลับมาฟอลโล่ใหม่หลังจบละคร ขำๆ  ครีมเอ๋เองก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรื่องรูปที่ลงในไอจีล่าสุดแล้วมีคนมาคอมเม้นว่าสงสารท่าน ก็เป็นเป้าหมายของเราด้วยนะที่วิธีการเล่นหรือวิธีการแสดงของเราพุ่งไปทางมิติเดียวอย่างเป็นผีก็ต้องน่ากลัว แต่เราอยากให้ผีมีสตอรี่ว่าทำไมถึงทำแบบนี้เป็นแบบนี้ เป้าหมายเราอยากให้คนดูอินไปกับผี จนตอนนี้ไม่มีใครกลัวแล้ว ทุกคนแทบจะรักและเอาใจช่วยผีตัวนี้ว่าออกมาทีๆ เพราะว่าเหมือนคนเริ่มรักตัวละครนี้แล้ว”

“เรื่องก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเพราะว่าตอนนี้ ตัววันพุธก็เริ่มจะดีขึ้น หมายความว่าเขาเริ่มจะรู้เรื่องราวมากขึ้น และเรื่องดราม่า จริงๆเรื่องนี้ไม่ใช่หนังผีจ๋าขนาดนั้น แต่เป็นหนังผีที่มีดราม่าเยอะมาก และตอนนี้เรตติ้งก็กำลังดีมากๆเดินไปไหนก็หน้าบานก็ดีใจนะที่เป็นการปรับบทคาแน็คเตอร์ตัวเราเพราะสมัยก่อนเราเล่นกับบทบาทที่เป็นพระเอก แต่เรื่องนี้เราไม่ได้เล่นเป็นพระเอก เราก็รู้สึกว่าไม่ได้ยึดติดกับมันแล้ว คือเมื่อก่อนถามว่าเรายึดติดกับมันไหม มันอาจจะมีครึ่งหนึ่งที่เราไปยึดติด เพราะว่าเราอยู่กับมันมานาน ครึ่งหนึ่งก็ต้องยอมรับความเป็นไปว่าเราต้องเดินไปหาอะไรที่มันไกลตัวมากขึ้น ซึ่งปีนี้ก็มีอะไรหลายอย่างที่เราพยายามก้าวออกไป เราไปรับบทที่ไม่ใช่พระเอกมากขึ้น ปีนี้ก็ได้กลับมาทำงานพิธีกรอีกครั้งหนึ่ง ผมก็พยายามไปสู่งานที่ไม่ได้ทำนานแล้วหรือว่าไม่เคยทำกลับมาทำมันยากขึ้นและน่าลอง”

“การเรียนลูกก็ไปเรื่อยๆไม่ได้คาดหวังอะไรเลย คือขอให้มีความสุขพอ ไม่ต้องเป็นเด็กที่1ของห้อง ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นเลย อยากให้เป็นเด็กเบอร์สิบ เบอร์สิบเอ็ด ได้วิ่งเล่นแล้วมีความสุข ได้วิ่งเล่นแล้วยิ้ม กินข้าวแล้วอิ่ม ตื่นมาไม่ร้องไห้ก็พอ เพราะว่าทุกอย่างในชีวิตเราเตรียมรอยยิ้มไว้ให้รอบๆเขาอยู่แล้วทุกอย่าง เราไม่ได้คาดหวังว่าลูกโตมาจะต้องเป็นนักวิชาการ หรือต้องเรียนเก่งมากๆ ไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย คือเก่งอะไรก็ได้ แพลนเรียนต่างประเทศก็แล้วแต่เขา แต่เอ๋ไม่อยากให้ไป เพนาะเอ๋เขาเป็นห่วง เราเองก็ห่วงไม่อยากให้ไปเหมือนกัน แต่ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆจะไปก็ต้องให้ไป แต่เราไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น  คิดแค่ว่าตอนนี้ชอบตีกลองก็ให้ตีกลอง ตอนนี้ตีทะลุไปอันหนึ่งแล้ว”