เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

คืนสยองในโรงพยาบาล

     เรื่องนี้ส่งมาจากคุณเมครับ คุณเมเล่าว่า.. ออกตัวไว้ก่อนว่าเราเป็นคนไม่กลัวผี ไม่เชื่อเรื่องผี และไม่เคยเจอผีในชีวิตเลย เพราะคิดว่ามันไม่มีจริง จนมาเจอเหตุการณ์นี้ ซึ่งเราก็อธิบายไม่ได้ค่ะ คือเมื่อราว 3 อาทิตย์ก่อน ลูกสาวคนโตของเราป่วยต้องแอทมิทเข้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 วัน ทุกอย่างก็ปกติมาโดยตลอด จนคืนก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล คืนนั้นระหว่างที่เรากำลังสะลึมสะลือ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ฝันว่าตัวเองเดินไปที่ประตูห้อง และเปิดม่านเล็กๆ ตรงประตู (ที่ประตูห้องจะมีม่านเล็กๆ ไว้ส่องดูข้างนอกได้) พอเราส่องออกไป ก็เห็นคนมามุงหน้าห้องเราเยอะแยะไปหมด ทั้งหญิง ชาย ชะโงกหน้ากันเข้ามาจ้องเรา เราตกใจมากจนสะดุ้งตื่น คือมันเหมือนอาการผีอำ กึ่งหลับ กึ่งฝันค่ะ เรามองนาฬิกาเป็นเวลาตี 2 พอดี จังหวะเดียวกันกับลูกสาวเราที่นอนอยู่ ก็ลุกขึ้นยืน โดยที่ตาปิดอยู่ แต่ทำปากขมุบขมิบๆ เราถาม ‘ทำอะไรลูก!?’ แต่ลูกก็ไม่ตอบ ทำปากขมุบขมิบๆ ไม่ลืมตาอยู่อย่างนั้น เราตกใจรีบไปตามพยาบาลมา พอกลับมา ลูกเรานั่งอยู่ในท่าคุกเข่า สรุปก็คือละเมอ ก็จบไป.. เราเอาไปเล่าให้สามีฟัง ก็บอกตลกดี บังเอิญ สามีบอกมันเป็นภาวะการทำงานของสมอง บอกว่าเราเหนื่อยมากๆ เครียดมากๆ ก็เลยเป็นแบบนี้..

วันนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลมา แต่พอกลับมาถึงบ้าน ปรากฏว่าลูกสาวคนเล็กตัวร้อนจัด ไข้ขึ้น 40 องศา เลยต้องพาลูกคนเล็กกลับไปเข้าโรงพยาบาลเดิมทันทีหลังจากที่ลูกคนโตเพิ่งออก เข้าแอทมิทตอน 3 ทุ่ม มีไข้สูง ร้องโยเยตลอดเวลา วางไม่ได้ จะต้องอุ้มไว้ตลอด พอได้เข้าห้องพัก (คนละห้องกับที่ลูกสาวคนโตอยู่) คืนนั้นเราอยู่กับพี่ชายเราค่ะ ช่วยกันดูน้อง ส่วนสามีดูลูกคนโตอยู่บ้าน.. ตอนเข้าห้องไป เราได้กลิ่นเหม็นๆ ติดที่มือ กลิ่นเหมือนยางลบไหม้ ก็พยายามล้างมือ ทาครีม คือล้างหลายรอบมาก หงุดหงิดในใจว่ากลิ่นอะไรเหม็นจัง แล้วก็เหนื่อยกับลูกมากๆ เพราะวางลูกไม่ได้เลย พยาบาลก็จะคอยพาลูกไปเช็ดตัวทุกๆ 2 ชั่วโมง จนตอนประมาณตี 1 กว่าๆ พี่ชายเราก็บอกว่า ‘เดี๋ยวขอนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องรีบไปทำงานแต่เช้า’ เราก็โอเค บอกให้พี่ชายนอนเลย พี่ชายเรานอนที่โซฟาในห้องนั่นล่ะค่ะ

สักพักพยาบาลก็มา พาน้องไปเช็ดตัว (ต้องพาไปเช็ดตัวอีกห้องหนึ่ง) เราก็เดินตามไปโดยทิ้งพี่ชายเราไว้ในห้อง พอเราไปดูพยาบาลเช็ดกับลูกกลับมา โดยเราเป็นคนอุ้มกลับ เพราะลูกเราร้องไห้ตลอด ไม่ให้วาง เอามือปัดๆ ร้องๆ ตลอด เราก็อุ้มไว้อยู่ในห้อง พยายามปิดไฟ ให้มืดเพื่อที่ลูกจะได้นอน แต่ลูกเราก็ยังคงร้องอยู่แบบนั้น.. สักพักไม่นาน พี่ชายเราที่นอนอยู่ ก็ละเมอขึ้นมา เราก็ไม่ได้สนใจ แต่เค้าพูดยาวมาก ตอนแรกฟังๆ เหมือนร้องไห้ และพูดอะไรพึมพำไม่รู้เรื่อง แต่พอฟังดีๆ มันเป็นเสียงผู้หญิงแก่!! พูดอารมณ์แบบสนุกสนานชอบใจ แต่เป็นเสียงคนแก่นะ แก่มาก ยานคางเลยล่ะ สาบานเลยว่าได้ยินแบบนี้จริงๆ และแปลกมาก เกิดมาในชีวิตไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เรากลัวมากเลยตะโกนเรียกพี่เรา จนพี่เราลุกขึ้นมา เราก็ถามว่า ‘พูดอะไรอะ?’ พี่เราถามกลับ ‘ได้ยินว่าอะไรล่ะ?’ เราก็เล่าสิ่งที่ได้ยินให้พี่เราฟัง สรุปพี่เราบอกว่าเค้าไม่ได้พูดอะไร.. เท่านั้นล่ะ ต่างคนต่างเงียบมองหน้ากัน ตอนนั้นเวลาตี 2 กว่าๆ พี่เราทำหน้าอึกอักเหมือนอยากจะบอกอะไร เรารีบบอกพี่เลยว่า ‘อย่าเพิ่งเล่านะ รอเช้าก่อน..’

จนตอนเช้าพี่ชายเราออกไปทำงาน ส่วนเราติดต่อพยาบาลทำเรื่องขอย้ายห้อง พยาบาลมาถามเราว่าทำไมถึงจะย้าย เราก็ตอบว่าอยากได้ห้องที่ใหญ่กว่านี้ แล้วมีพยาบาลอีกคนถามมาว่า ‘คุณแม่ก็เจอเหรอคะ!?’ ทีนี้เราเลยเล่าให้เค้าฟัง และถามเค้าว่าห้องนี้มีอะไร? แต่เราบอกเค้าว่า อย่าเพิ่งเล่านะ ขอให้ได้ห้องใหม่ก่อน.. พอทำเรื่องเปลี่ยนห้องได้ และย้ายไปห้องใหม่ เราเลยรีบโทรไปถามพี่ชายว่า ‘เมื่อคืนเจออะไร?’ (พี่ชายเราทำงานเป็นบุคลากรของโรงพยาบาล ทำงานมาหลายปีไม่เคยเจอ และไม่เชื่อเรื่องผีเหมือนกัน) พี่ชายเราเล่าว่า พอล้มตัวลงนอน ยังไม่ทันหลับ รับรู้ตลอดที่เราเดินออกไปกับพยาบาลที่พาลูกไปเช็ดตัว ตอนที่เราออกไป ไฟในห้องมันตก กระพริบๆ ติดๆดับๆ สักพัก พอเราเดินกลับเข้ามาในห้อง พี่เราเล่าถูกหมดเลย เราเป็นคนอุ้มลูก พยาบาลเดินตาม เดินกันเข้ามา ..แต่สิ่งที่พี่เราเห็นคือ มีหน้าคนแก่ๆ ตามมาข้างๆ ลูกเราด้วย! กำลังหลอก แบบแกล้งหยอกเด็ก อะไรแบบนั้น ลูกเราก็ร้องไห้เอามือปัดไปมา ตอนนั้นพี่เราขนลุก ชาวูบไปตั้งแต่ท้ายท้อย แต่ไม่ได้หลับ รับรู้หมด เห็นหมด แต่ขยับไม่ได้ เหมือนคนโดนบล็อกหลังผ่าตัดอะไรแบบนั้น พี่ชายเราพยายามตะโกนออกมาสุดเสียงว่า ‘ออกไป! อย่ามายุ่งกับเด็ก’ แต่ตะโกนเท่าไหร่ ก็ไม่มีเสียงออกมาเลย.. ซึ่งทั้งหมดมันคือช่วงเวลาเดียวกันกับที่เราได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ พอเราตะโกนเรียกพี่ชายเรา พี่เราถึงหลุดมาได้

และนี่เป็นเหตุการณ์ที่แปลกมากสำหรับเรา พี่ชายเราอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัวดี ไม่ได้ใช้ยา ไม่ได้เจ็บป่วย ไม่ได้มีประวัติทางจิตเวชใดๆ แล้วเราก็ได้กลับไปถามพยาบาล ซึ่งพยาบาลบอกว่า ‘ที่ห้องนั้น ก่อนหน้ามีแม่ลูกเข้ามาแอทมิทตอนบ่าย แล้วก็มาขอย้ายห้องออกกลางดึกเลย บอกว่ามีอะไรมากวนจนอยู่ไม่ได้.. ส่วนอีกเคส เคยเห็นเป็นผู้หญิงแก่มานั่งมองอยู่ปลายเตียง!’ ซึ่งทุกอย่างตรงกับที่พี่ชายเราเห็นว่าเป็นผู้หญิงแก่ และเสียงที่เราได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงแก่..’ และตั้งแต่ย้ายไปห้องใหม่ กลิ่นเหม็นเหมือนยางไหม้ติดมือเราก็หายไปเลยค่ะ และก็ปกติดี ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ อีกเลย.. เรื่องที่เจอก็มีแค่นี้ค่ะ แต่ขอยืนยันว่าทุกเรื่องที่เล่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ

 

ปอบรอบกองไฟ

 

       เรื่องนี้มาจาก คุณ เทวะดำ เล่าว่า.. เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ ผมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ก็มักจะมีการประท้วงโบนัสกันเกือบทุกปี แต่ในด้านดีๆ ก็คือจะมีการออกค่ายอาสาอยู่เป็นประจำ ในส่วนของการประท้วง ผมจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเขาสักเท่าไหร่ สู้เอาเวลาตรงนั้นมานั่งแช่งเมียที่ห้องดีกว่าอีก แต่ถ้าเป็นการออกค่ายอาสา ผมจะไปทุกปี เพราะผมเป็นคนหน้าตาดี นิสัยดี จิตใจดี ชอบทำความดี.. ตอนนั้นใกล้ถึงวันออกค่าย ผมจึงไปตัดผมใหม่เพื่อให้ตัวเองดูสะอาดเรียบร้อย พอกลับมาถึงห้องเมียผมยังชมผมเลยว่า ‘ตัดผมแล้วหล่อเหมือนซีอุยเลย’ แล้วพอถึงวันเข้าค่าย ผมกับเมียจะต้องนั่งรถไปกับ พี่เก่ง ตอนแรกว่าจะเอารถผมไปเอง แต่ว่าไม่น่าจะเสี่ยง เพราะแค่แมลงบินชนกระจกเครื่องแม่งก็ดับแล้ว เราออกเดินทางกันตอนเที่ยงคืน กะว่าจะไปถึงนั่นเช้าพอดี แต่ผมกลัวว่าถ้าให้พี่เก่งขับ เราจะไปถึงเช้าของอีกวันหนึ่งแทน เพราะแกขับรถเร็วกว่ายายปั่นจักรยานนิดเดียว ผมจึงต้องขับเองครับ พอไปถึงก็เช้าพอดี พวกพี่ๆ ที่ไปถึงก่อนเห็นผมมาก็เดินเข้ามาทักผม ‘มาแล้วหรอ ณเดช?’ ผมก็ตอบไปว่า ‘ทักผิดคนแล้วพี่ ผมมาริโอ้ต่างหาก..’ แล้วเราก็บำเพ็ญประโยชน์กันทั้งวัน จนถึงตอนเย็น ก็จะมีการทำกิจกรรมรอบกองไฟกัน ผมจึงพาเมียผมเดินโชว์หนังหน้าสักหน่อย จนไปเจอพี่เก่งกับพี่ออมเมียแก ผมจึงเบรคตีนเพื่อคุยกับแก แล้วแกก็ชวนผมกับเมียไปเที่ยวทะเลด้วย แกบอกว่า ลองนึกภาพดูว่า ถ้าให้บรรดาเมียๆ ใส่ชุดว่ายน้ำเล่นบอลชายหาดมันจะซี๊ดขนาดไหน ผมเอานิ้วชี้จกปากตัวเอง ทำตามองบนแล้วนึกภาพตาม.. ภาพที่แล่นเข้ามาในหัวถึงกับทำให้ผมอุทานออกมา ‘เชี่ย! ฝูงปลาพะยูนเล่นบอลชายหาด..’ ผมจึงปฏิเสธแกไปแล้วเดินออกมา..

จนถึงเวลา 1 ทุ่มความสยองก็เริ่มก่อตัว กิจกรรมรอบกองไฟนั่นคือการจับกลุ่มเล่าเรื่องผี โดยตัดสินจากผลโหวต ใครเล่าได้น่ากลัวที่สุด จะได้รับรางวัลจากท่านประธานเป็นเงิน 300 บาท (น้ำตาจะไหล) โดยกลุ่มผมส่ง พี่ก็อต ออกไปเล่า ก่อนจะเล่าแกขึ้นต้นว่า ‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..’ พร้อมกับเอามือขยับแว่นตานิดหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างโรคจิตแล้วเล่าต่อว่า..

เมื่อสมัยผมเด็กๆ ช่วงที่ไปเข้าค่ายพักแรม รู้สึกว่าจะเป็นตอน ป.5 โดยครั้งนั้นได้ไปพักแรมในป่าซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเกือบ 5 กิโลเมตร.. ‘ตอนเข้าค่ายพักแรมคุณนึกถึงอะไรกัน?’ พี่ก็อตแกตั้งคำถามพร้อมเว้นระยะให้คนฟังคิดตาม ผมลองนึกภาพตาม ถ้าไม่ขโมยกินต้มไก่ของกลุ่มอื่น ก็เเอบดูผู้หญิงอาบน้ำแค่นั้นล่ะครับ ผมนึกตามแล้วยิ้มอย่างมีความสุข.. พี่ก็อตเล่าต่อว่า ตอนนั้นอยู่ๆ เพื่อนของผมคนหนึ่งมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง จนลงไปนอนดิ้น นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดทรมาน หลังจากเข้าป่าไปหาฟืนมาก่อไฟ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นช่วงกลางวันอยู่ พวกครูจึงพาเพื่อนคนนั้นมาที่เต๊นท์พักของครูเพื่อปฐมพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จึงเตรียมตัวจะส่งไปโรงพยาบาล แต่จู่ๆ เพื่อนคนนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับบอกว่า ‘กูไม่ไป กูจะอยู่ที่นี่ กูหิว กูจะกินมัน แค่คนเดียวแล้วกูก็จะไป..’ เล่าถึงตรงนี้พี่ก็อตแกเล่นตะเบ็งเสียงซะแรง พร้อมกับทำตาเหลือกเหมือนกับคนไทยเจอไซส์ฝรั่ง เล่นเอาผมต้องขมิบรูตรูดตามด้วยความตกใจ แกเล่าต่อว่า เมื่อเห็นท่าไม่ดี จึงให้คนไปตามหมอธรรมในหมู่บ้านออกมาดู ประมาณว่าเป็นหมอด้านไสยศาสตร์น่ะครับ ซึ่งระหว่างรอ พวกครูก็ได้พยายามเจรจา ถามว่าเป็นใครมาจากไหน? มาทำเด็กทำไม? แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรเลย พูดแค่ว่า ‘กูหิวๆ’

สักพักเพื่อนผมก็มีอาการชัก ตาเหลือก แล้วอ้วกออกมาปนเลือด หมอธรรมที่มาถึงพอดี แกรีบท่องคาถาแล้วเป่าน้ำมนต์ใส่ แต่ก็ยังไม่หาย แกจึงหยิบเหมือนว่านอะไรสักอย่างออกมาจากย่าม แล้วแปะตรงหน้าผาก เพื่อนผมคนนั้นร้องโหยหวนทันที พร้อมกับหมดแรงนั่งลง แต่ยังลืมตาอยู่ แล้วพี่ก็อตก็ถามคนฟังต่อว่า ‘เชื่อเรื่องผีปอบไหม?’ สาบานกับหลอดไฟเลยครับ ผมเชื่อแน่นอน! เพราะผมเคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะยัดจะแดกอะไรลงไปในท้อง แม่งหายหมด แป๊บเดียวเท่านั้น ไม่นานก็บ่นหิวอีก ถ้าไม่ใช่ปอบ ก็ต้องเป็นปลิงควายแน่นอนที่อยู่ในท้องเมียผม.. พี่ก็อตเล่าต่อทันทีว่า เพื่อนของผมถึงแม้จะไม่อาละวาดโวยวายแล้ว แต่ก็ยังนั่งตาขวาง นั่งพูดนั่งบ่นอยู่คนเดียว สุดท้ายจึงต้องพาไปวัดเพื่อหาหลวงพ่อ พอไปถึงหลวงพ่อก็พูดออกมาว่า ‘ไม่ทันแล้วล่ะ ถึงแม้จะไล่มันออกไปได้ แต่เด็กคงไม่รอดแล้ว เพราะข้างในถูกกินจนหมดแล้ว..’ ได้ฟังแบบนั้น พ่อแม่เด็กถึงกับร้องไห้โฮ ขอร้องให้หลวงพ่อช่วยไล่ผีปอบออกไป ด้วยความหวังอันริบหรี่ สุดท้ายหลวงพ่อก็ทำพิธีร่วมกับพระอีกรูปหนึ่ง ที่แกเรียนวิชาอาคมมาจากเขมร ทำพิธีกันอยู่นาน สุดท้ายผีปอบก็ยอมออกไป แต่ก็สายเกินแก้ครับ เพื่อนผมมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 ชั่วโมงก็สิ้นใจ เพราะข้างในโดนกินจนเละหมดแล้ว..

เรื่องเหมือนจะจบแค่นั้นแต่ยังไม่จบครับ.. หลังจากนั้นไม่นาน หมู่บ้านผมก็เริ่มมีคนตายติดต่อกันบ่อยๆ จนคนเริ่มผวา เลยตกลงกันว่าจะทำพิธีไล่ปอบ แต่ต้องหาคนที่เป็น หรือจุดที่เป็น จึงเริ่มต้นจากจุดแรกที่เพื่อนผมไปเข้าค่ายพักแรมในป่า จนไปพบห่อผ้าเก่าๆ มีบางอย่างเหมือนคำหมาก หรือว่านอะไรสักอย่างอยู่ในกอไผ่ คาดว่าเพื่อนผมน่าจะมาหาฟืนไปก่อไฟ แล้วมาเจอห่อผ้านี้เลยแกะออกดู เพราะแถวนั้นเป็นชายแดนติดกับเขมรครับ จึงไม่ต้องสืบเลยว่าจะเป็นอะไรไปได้.. พอพี่ก็อตแกเล่าจบ แกก็เป่าปากเหมือนรอดตัวตอนโกหกเมียได้ พอถึงตอนจะแยกย้ายกันเข้านอน ผมและคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นยืน แต่พี่ก็อตแกลุกขึ้นทีหลัง สักพักแกก็โวยวายขึ้น ผมเลยถามแกว่าเป็นอะไร? แกบอก ‘ใครไม่รู้แม่งเหยียบถุงน้ำจิ้มกระเด็นใส่พี่’ ผมเลยชี้บอกแกว่า ‘ตรงข้างหลังก็โดน’ จังหวะที่แกหันหลังไปเช็ด ผมก็เอาตีนเขี่ยถุงน้ำจิ้มออกไปไกลๆ ตีนผม พร้อมกับทำตัวเป็นคนดีด้วยการยื่นผ้าเช็ดหน้าให้แกเช็ด.. สรุปแล้วพี่ก็อตแกได้รางวัล 300 บาทจากท่านประธาน เพราะท่านประธานบอกว่าหน้าแกโรคจิตดีครับ หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับในที่สุด

 

เสากลางบ้าน

     เรื่องนี้มาจากคุณ Paramita Banjongkhayay  เรื่องมีอยู่ว่า.. เป็นเรื่องของบ้านเรา ที่เพิ่งสร้างเสร็จไปได้ไม่กี่ปีมานี้ค่ะ เป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นบนเป็นไม้ ชั้นล่างเป็นปูน ช่างที่รับสร้างบ้านให้ครอบครัวเราเป็นคนจัดซื้อของทุกอย่างให้ รวมถึงไม้ทั้งหมดด้วยเช่นกัน ด้วยความที่ช่างกลุ่มนี้ฝีมือดี ญาติๆ แนะนำมา ก็เลยวางใจ ไม่ค่อยได้ดูรายละเอียดอะไรนัก จนกระทั่งบ้านสร้างเกือบจะเสร็จ เราถึงพากันเข้าไปดูบ้าน

ทันทีที่เดินเข้าบ้านไป เรานี่ขนลุกวาบแปลกๆ ขึ้นมาเลย คิดในใจว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วก็จริงตามคาดค่ะ ที่ชั้นบนของบ้านมีเสาตกน้ำมัน 1 ต้น อยู่ถัดตรงบันไดไปแค่นิดเดียว เราเลยไปถามช่าง ช่างก็แก้ตัวว่าเหมาไม้มาจากโรงเลื่อย แล้วมีเสาต้นนี้ติดมาด้วย เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง จะเอาไปทำเสาห้องนอน ก็กลัวว่าเจ้าของบ้านจะนอนไม่ได้ เลยเอามาไว้ตรงทางขึ้นลงแทน แถมยังอุตส่าห์ผูกผ้า 3 สีให้อีกต่างหาก! แล้วยังเล่าอีกว่าคนงานเจอดีกันไปหลายคนแล้ว วินาทีนั้นนี่เราอยากจะกระทืบช่างมากค่ะ แต่ช่างก็บอกว่า ให้เขาอยู่ด้วยเถอะ เขาจะให้โชคให้ลาภ..

หลังจากนั้นแม่เราเลยไปปรึกษาพระ พระท่านมาดูให้แล้วก็บอกว่า ‘อยู่ด้วยกันได้ ไม่มีปัญหาดอก’ แม่เราเลยสบายใจขึ้น.. พอทำบุญบ้านเสร็จ ครอบครัวเราก็ย้ายเข้ามาอยู่ คืนแรกเขาก็มาทักทายพวกเราทุกคนเลยค่ะ โดยมาเข้าฝัน แม่ น้องชาย และน้องสาวเรา ทั้ง 3 คนฝันเหมือนกันคือ มีผู้หญิงใส่ชุดขาวกับเด็กผู้ชายมายืนมอง แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็หายไป.. ส่วนเรา เขามาทำให้เราเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเขา ภาพที่เราเห็นคือ 2 แม่ลูกตาย และถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นมา พวกเขาเลยอาศัยอยู่ในต้นไม้นั้นมาโดยตลอด แล้วพอต้นไม้ถูกตัดมาทำบ้านเรา เขาเลยติดตามมาด้วย..

ตอนเช้าเราเล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านฟัง ต่างก็พากันกลัว เราเลยบอกว่าไม่ต้องกลัว ดูแล้วท่าทางพวกเขา 2 แม่ลูกนิสัยดี หลังจากนั้นทุกๆ วันพระ พวกเราก็จะหาขนมกับน้ำแดงมาไหว้บ้าง และกรวดน้ำเผื่อให้พวกเขา 2 คนบ้าง นับจากนั้นมา ก็อยู่ร่วมกันได้ปกติค่ะ.. แล้วเราเคยได้ยินเพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่า เวลาพวกเราไม่อยู่บ้าน มักจะชอบเห็นผู้หญิงชุดขาวมายืนตรงหน้าต่างห้องนอนแม่เราค่ะ ซึ่งเราคิดว่าเขาคงจะคอยดูแลบ้านให้ ไม่ได้คิดจะหลอกอะไรใครหรอก เมื่อถึงเวลา พวกเขาก็คงจะไป..

 

 

เปรตป้าบัว

       เรื่องนี้มาจากคุณโอ๊คเล่าว่า.. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้รับฟังมาจากหลวงพี่ท่านหนึ่ง ตอนสมัยที่ผมบวชเณรเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แน่นอนว่ามีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับภูตผีจากผู้เฒ่าผู้แก่ โดยเฉพาะ ผีเปรต ผีปอบ ผีโพง ผีกระสือ ผีกองกอย.. คือสมัยก่อนหมู่บ้านที่ผมอยู่ ยังไม่ได้พัฒนาเหมือนปัจจุบัน บ้านคนก็ยังไม่เยอะสักเท่าไหร่ วัดประจำหมู่บ้านจะอยู่ห่างออกไป แต่จะมีถนนตัดผ่านเข้าไปภายในตัววัด แล้วทะลุออกไปด้านหลังของวัด จะมีสะพานไม้เก่าๆ ซึ่งเชื่อมต่อไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง มีประมาณ 10 หลังคาเรือน ห่างจากตัววัดออกไป 200 กว่าเมตร ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นจะเต็มไปด้วยต้นไม้ปกคลุม ขนาดผ่านไปตอนกลางวันยังวังเวง และเงียบสงัดมาก แต่คนแถบนั้นอยู่กันนานจนชินไปแล้ว ส่วนบริเวณตัววัดจะล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าจะมีต้นตาลใหญ่ 4 ต้น ส่วนด้านหลังจะปกคลุมไปด้วยป่าไม้ไผ่ และเป็นป่าช้าที่เอาไว้เผาศพ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับถนนที่ไปยังหมู่บ้านนั้น

หลวงพี่ยอดเล่าว่า ย้อนไปตอนที่ท่านยังเป็นสามเณร ท่านจะมีนิสัยเกเร และดื้อตามประสาเด็ก มีป้าคนหนึ่งชื่อว่าป้าบัว (นามสมมติ) แกมักจะมาทำบุญที่วัด ไม่ก็ตักบาตรที่หน้าบ้านแกเป็นประจำ แต่ป้าบัวแกเป็นคนขี้อิจฉา ชอบด่าว่า ชอบนินทาคนอื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งเณรก็โดนดุด่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า บนพื้นศาลามีขี้นก หรือลานวัดไม่สะอาดมีใบไม้ร่วงเต็มไปหมด แกก็จะต่อว่าเณร หาว่าเณรขี้เกียจบ้าง เอาแต่วิ่งเล่นไปวันๆ พูดเหมือนกับว่าแกเป็นเจ้าของวัด มีสิทธิ์ไปซะทุกเรื่อง ชอบตำหนิคนอื่น แต่พูดเอาดีใส่ตัว บางครั้งเณรเคยเห็นแกขโมยอาหารที่คนอื่นนำมาถวายพระกลับบ้าน โดยเฉพาะช่วงวันพระ แกจะมาวัดโดยไม่นำอาหารมาเลย มีเพียงแต่กล่องข้าวเหนียวกับตะกร้าแบบถือ (ที่นั่นชาวบ้านส่วนมากจะนำอาหารใส่ถุงพลาสติก มากกว่าใส่ปิ่นโต นำมาที่วัดแล้วจัดเตรียมใส่ภาชนะให้พระฉัน) ถ้าอาหารเยอะเกินไปหรือล้น ป้าบัวก็จะจับถุงอาหารนั้นยัดใส่ในตะกร้าของตน ตอนที่ไม่มีใครสังเกต.. ไม่นานก็มีข่าวลือว่าป้าบัวแกไปแอบชอบหลวงพ่อ เณรยอดสังเกตเห็นว่าแกจะพูดดีแต่กับหลวงพ่อเท่านั้น บางครั้งหลวงพ่อติดธุระหรือไปประจำวัดอื่น เวลาเณรออกไปบิณฑบาต ถ้าแกไม่เห็นหลวงพ่อมาด้วย แกก็จะทำสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ.. ไหนจะข่าวว่าป้าบัวทะเลาะกับเพื่อนบ้านแก ถึงขนาดเรื่องไปถึงหูผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านเล่าว่าเห็นป้าบัวแกแอบมากรวดน้ำสาบแช่งถึงหน้าบ้าน สาเหตุเป็นเพราะแกหาว่าเพื่อนบ้านนั้นสร้างรั้วกินเข้ามาในพื้นที่ของแก นั่นยิ่งทำให้ชาวบ้านไม่ชอบแกเข้าไปอีก

หลวงพี่ยอดเล่าต่อว่า และแล้วคืนหนึ่ง เวลาประมาณตี 1 หลวงพี่ก็ได้ยินเสียงหมาหอนดังลั่นจนนอนไม่หลับ พร้อมกับมีเสียงร้องไห้แหบแห้งเหมือนเสียงคนแก่ ดังไปรอบกุฏิจนไม่ได้หลับได้นอน แถมลมข้างนอกก็แรงมาก จนโค่นต้นตาลต้นหนึ่งล้มลงมาเสียงดังสะนั่น แต่เพราะความกลัวหลวงพี่ก็เลยไม่กล้าลุกไปดู จนตอนเช้า ก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งวิ่งมาที่วัด ทราบที่หลังว่าเป็นลูกหลานของป้าบัว บอกว่าป้าบัวเสียแล้ว นอนไหลตาย พอตอนบ่ายเขาก็นำร่างของป้าบัวมาทำพิธีที่วัด สมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาศพ เลยต้องเผาบนกองฟืน ระหว่างการทำพิธีนั้น จะมีการเปิดฝาโลงศพเพื่อให้พระ และญาติๆ นำน้ำมะพร้าวไปล้างหน้า สภาพศพป้าบัวคือลืมตาเบิกโพลง ระหว่างกำลังจะเผาศพอยู่นั้น ก็เกิดลมแรงและฝนเทกระหน่ำลงมา ทำให้ชาวบ้านต้องนำผ้ายางไปคลุมเอาไว้ จนถึงตอนเย็นถึงได้ดำเนินการต่อ พิธีเหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ไฟกำลังไหม้ฟืนที่อยู่ด้านล่างนั้น อยู่ๆ โลงศพก็พลิกคว่ำลงมา ทำให้ศพป้าบัวหล่นตุ้บแล้วกลิ้งออกมา! ทุกคนต่างตกใจร้องเสียงหลง พวกผู้ชายจึงรีบพากันใช้ไม้พลิกศพกลับเข้าไปในกองไฟเหมือนเดิม.. จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนั้นที่วัดยังไม่มีสังกะลี พวกเณรเลยต้องทำหน้าที่เป็นระยะๆ ตรวจดูว่าศพถูกเผาละเอียดแล้ว จนถึงตอน 6 โมงเย็น เป็นเวลาสวดมนต์ไหว้พระ ฟังพระธรรมวินัยไปจนถึง 1 ทุ่ม ปกติแล้วเณรจะนอนกันแต่หัวค่ำ ลักษณะกุฏิจะมีทางเดินตรงกลาง มีทั้งหมด 4 ห้อง เณรยอดจะนอนห้องในสุดด้านขวามือกับเณรที่ชื่อออย ห้องถัดมาจะเป็นห้องของหลวงพี่ท่านหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายทั้ง 2 ห้อง ถูกกั้นด้วยผ้าจีวร ห้องในสุดจะเป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของคนตาย ที่ญาตินำมาบังสกุลหลังจากเผาศพไปแล้ว 3-4 วัน ส่วนห้องถัดมา เคยมีเณรท่านหนึ่งย้ายมาจากวัดอื่น เข้ามาพักได้ไม่นานก็ย้ายออกไป เพราะตอนดึกๆ บอกว่าได้ยินเสียงเหมือนคนรื้อข้าวของ และเห็นเงาประหลาดจากห้องข้างๆ เป็นประจำ ห้องนั้นเลยว่างไม่มีใครกล้านอนอีกเลย ส่วนกุฏิหลวงพ่อจะอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 30 เมตร

คืนนั้นเป็นอีกคืนที่หมาหอนดังก้องไปทั่วทั้งวัด เณรยอดเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตี 2 เพราะได้ยินเสียงเณรออยร้องลั่น นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง ร้องไห้พูดจาไม่เป็นภาษาคน จนหลวงพี่ที่อยู่ข้างห้องมาเคาะประตูเรียก เณรออยจึงรีบวิ่งออกไปแล้วเข้าไปหลบในห้องหลวงพี่ เณรยอดก็วิ่งตามเข้าไป พอหลวงพี่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น? เณรออยก็ไม่ยอมบอก จนถึงตอนเช้าเณรออยก็นอนจับไข้ ปากก็บ่นว่าอยากสึกแล้วๆ พอหลวงพ่อเข้ามาถาม เณรออยจึงเล่าว่า ‘เมื่อคืนได้ยินเสียงคนเดินลากเท้าบริเวณหน้าห้อง (พอดีที่นอนเณรออยจะตรงกับประตูพอดี ลักษณะประตูคือจะอยู่สูงเหนือจากพื้นประมาณฝ่ามือครึ่ง พอจะมองลอดช่องใต้ประตูออกไปได้) ตาก็เลยไปสะดุดเห็นเท้ายาวๆ ดำๆ คู่หนึ่ง ลักษณะไหม้เกรียม ยืนอยู่ชิดประตูหน้าห้อง ส่วนปลายเท้านั้นพ้นลอดผ่านเข้ามาในห้อง..’ เณรออยถึงกับร้องไห้ออกมาระหว่างที่เล่าถึงตอนนั้น ก่อนจะเล่าต่อว่า ‘แล้วทันใดนั้น ก็มีมือยาวๆ ข้างหนึ่งล้วงเข้ามาผ่านช่องประตู คล้ายๆ กับกำลังคลำหาอะไรบางอย่างภายในห้อง พอดีมือนั้นคว้าไปโดนขาเณรเข้า ทำให้เณรสะดุ้งสุดตัว ร้องลั่นพุ่งไปหลบอยู่ที่มุมห้อง สัมผัสของมือจะสากๆ เย็นๆ มีกลิ่นไหม้ ผสมกลิ่นคาวคลุ้ง..’ เณรออยพูดไปก็ร้องไห้ไป ปากก็บอกอยากสึกๆ หลวงพ่อเลยบอกจะดูฤกษ์ให้ แต่ให้อดทนไปก่อน เพราะดูเหมือนว่ากำลังมีเคราะห์ ให้นอนพักผ่อนไปก่อน ไม่ต้องทำงานวัด ที่เหลือให้เณรยอดทำคนเดียวไปก่อน

ช่วงเย็นของวันนั้นเอง ลูกหลานของป้าบัวก็มาที่วัดเพื่อมาเก็บเถ้ากระดูกของแกใส่โกฐ แล้วเอาไปไว้ในธาตุที่สร้างไว้ห่างจากกุฏิหลวงตาประมาณ 20 เมตร พอตกตอนเย็น มีแค่เพียงหลวงตา หลวงพี่ กับเณรยอดเท่านั้นที่สวดมนต์ไหว้พระ ส่วนเณรออยยังคงนอนป่วยอยู่ในห้องหลวงพี่ และก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมายืนตะโกนเรียกที่ใต้ต้นโพธิ์หน้ากุฏิ ในสภาพเปลือยกาย ตัวซูบผอม ผมเผ้ารุงรัง แขนยาวจนถึงพื้น แต่แปลกที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นเหมือนเสียงของป้าบัวไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเสียงแกจะแหลมเวลาแกตะโกน ตะคอกด่าเณรประจำตอนมีชีวิตอยู่ เณรออยสะดุ้งตื่นเหงื่อท่วมตัว รีบวิ่งไปเล่าความฝันให้หลวงตาฟัง พอฟังจบ หลวงตาเลยพูดขึ้นมาว่า ‘เขาคงอยากมาขอส่วนบุญ เพราะลูกหลานของแกไม่ค่อยชอบเข้าวัดทำบุญกัน..’

เรื่องของเปรตป้าบัวดังไปทั่วในสมัยนั้น ชาวบ้านที่ต้องเดินทางผ่านวัดเจอกันแทบทุกคน บ้างก็เล่าว่า เห็นคนยืนเรียก แต่พอเข้าไปใกล้ๆ แล้วตัวสูงเหยียดขื้นไปเท่าต้นตาล ก่อนจะหายไป.. บ้างก็ว่าขี่จักรยานผ่านวัด จะรู้สึกเหมือนมีมือคนมาดึงท้ายจนล้ม พอหันไปดูก็จะเห็นเงาดำๆ ยืนอยู่ต่อหน้าจนทำให้เป็นลมหมดสติไปก็มี.. บ้างก็ว่าพอขี่รถผ่านจนไปถึงบริเวณท้ายวัด จะเจอขายาวๆ ผอมๆ คู่หนึ่ง ยืนอยู่บนสะพาน แต่ไม่มีลำตัว..

จนถึงเรื่องของเณรยอดบ้าง วันนั้นเณรยอดตื่นขึ้นมากวาดลานวัดคนเดียวตอน 4 โมงเช้า ใกล้ๆ กับกุฏิหลวงตา แล้วได้ยินเสียงเหมือนลมพัดใบไม้ปลิวเป็นจังหวะๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เอะใจ คิดว่าเป็นแค่เพียงลม แต่แล้วก็ตามมาด้วยเสียงดัง ‘ป๊อกแป๊กๆ’ พอเณรหันไปดูตามเสียง ก็เจอเปรตเข้าให้เต็มๆ ลักษณะคือขาเกี่ยวกิ่งต้นมะขาม แล้วห้อยหัวลงมาเกือบถึงพื้น ตัวกวัดแกว่งไปมาแล้วเกิดดัง ‘ป๊อกแป๊ก’ เหมือนเสียงกระดูกเคลื่อน ท่าทางราวกับว่ากำลังเอาเส้นผมรุงรังนั้นกวาดบริเวณลานวัดอยู่ แล้วก็ใช้มือไม้ปัดไปมาตามพื้นดิน.. เณรยอดถึงกับร้องลั่นแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนกุฏิหลวงพ่อ ท่านเลยถามว่าเป็นอะไร? เณรก็เล่าสิ่งที่เจอให้หลวงพ่อฟัง ท่านเลยตะโกนออกไปว่า ‘จะอุทิศบุญกุศลไปให้ แต่อย่ามาปรากฏตัวให้ใครเห็นอีก!’ นับจากวันนั้นมา ก็ไม่มีใครเห็นเปรตป้าบัวออกมาอีกเลย จะมีก็แต่เพียงแค่เสียงหวีดร้องดังมาจากท้ายวัดเป็นบางครั้งบางคราว ส่วนเณรออยนั้น หลังจากจบเรื่องก็ตัดสินใจจะบวชต่ออีก 1 พรรษา..

 

 

หอพักนักศึกษาพยาบาล

      เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณอั้มครับ คุณอั้มเล่าว่า.. เราเป็นนักศึกษาพยาบาลค่ะ สมัยเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยไม่มีหอพักใน ทางมหาวิทยาลัยเลยไปเช่าหอพักทั้งตึกไว้ให้นักศึกษาพยาบาลอยู่ อยู่ในซอยธัญบุรี ซึ่งในซอยนั้นมีหอพักเยอะมาก หอที่ว่านี้จะเก่าๆ ดูน่ากลัว มีประมาณ 7-8 ชั้น เราได้อยู่ชั้น 2 ห้อง 208 ข้างหลังหอมองไปจะมีบ้าน 2 ชั้นเรียงเป็นแถว เหมือนบ้านจัดสรร มีอยู่หลังหนึ่งระเบียงชั้น 2 ของเขาจะตรงกับระเบียงห้องของเราเลย ห่างกันประมาณ 3 เมตรเท่านั้น เป็นกลุ่มรุ่นพี่วิศวะ 4-5 คนเช่าอยู่.. ช่วงแรกที่มาอยู่ เราอยู่กับเพื่อนรูมเมทอีกคน ที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน ตอนนั้นพวกเรายังใหม่ ไม่ค่อยรู้จักใคร และพวกเราจะเข้านอนกันค่อนข้างดึก คืนแรกที่นอน เรากับเพื่อนได้ยินเสียงโทรศัพท์ห้องดัง ‘กริ๊งๆ’ แว่วมาประมาณก่อนเที่ยงคืน แล้วก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ตาม ได้ยินแบบนี้ทุกวันเวลาเดิม ตอนแรกก็งงว่าเสียงมาจากไหน? คิดว่าคงเป็นห้องข้างบนล่ะมั้ง เราอยู่ไปสักพักจนเริ่มชินกับเสียงนั้น

เวลาผ่านไป เราเริ่มสนิทกับคนอื่นๆ ในหอมากขึ้น จนได้ไปรู้จักกับเพื่อนที่อยู่ห้อง 308 ซึ่งเป็นห้องข้างบนห้องเรานั่นเอง แต่เราก็ไม่เคยได้ถามถึงเสียงที่ว่าสักที.. ผ่านไปจนปิดเทอมแรก เพื่อนรูมเมทเรากลับบ้าน แต่เราไม่ได้กลับ เราไปหางานพาร์ทไทม์ทำ ช่วงที่เพื่อนไม่อยู่ ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับเราค่ะ คือเวลาเรานอนกลางวัน เรามักจะโดนผีอำ ขยับตัวไม่ได้ สักพักก็หาย จะเป็นแค่เฉพาะตอนนอนกลางวันเท่านั้นด้วย มีอยู่วันหนึ่งเรานอนกลางวัน ช่วงประมาณบ่าย 3 โมง ก็เหมือนเดิมเลยค่ะ คือขยับตัวไม่ได้ ตอนนั้นเราเริ่มชินละ เพราะเป็นบ่อยมาก แทบจะทุกครั้งที่นอนกลางวันก็ว่าได้ ครั้งนั้นเราก็เฉยๆ คิดว่าเดี๋ยวก็คงหายเองเหมือนทุกที แต่รอบนี้ไม่หายค่ะ เป็นอยู่นานมาก จนเราพยายามที่จะบังคับตัวเองให้ลุก แต่ทำไม่ไหว สักพักเราก็ลืมตาได้ หางตาเราเหลือบไปมองตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ติดกับห้องน้ำ เราเห็นมีคนนั่งอยู่บนตู้ เป็นผู้หญิงผมยาว นั่งก้มหน้าหัวชิดเพดาน ห้อยขาลงมาเป็นเงาดำๆ ตอนนั้นเรากลัวมาก! พยายามหลับตาแล้วลืมตาดูใหม่ ก็ยังเห็นอยู่เหมือนเดิม! สักพักเราก็ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ‘หึหึ..’ เสียงนั้นน่ากลัวมากกก เรากลัวจนน้ำตาไหลเลย ทำอะไรไม่ถูก นอนหลับตาอยู่แบบนั้น ไม่กล้าลืมตามอง เพราะกลัวเขาจะหันมาหา ขยับตัวก็ไม่ได้ ตอนนั้นคิดถึงแต่หน้าพ่อหน้าแม่ ขอให้พ่อแม่ช่วย สักพักเราก็สบัดตัวลุกขึ้นมาได้ เราไม่กล้าหันไปมองตรงนั้น แล้วรีบวิ่งออกจากห้องอย่างเร็วที่สุด ไปหาเพื่อนที่อยู่อีกห้องหนึ่ง ไปร้องไห้ที่ห้องเพื่อน เพื่อนก็ถามเราว่าเป็นอะไร? แต่เราก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง และก็ขอนอนที่ห้องเพื่อนโดยที่ไม่กลับมานอนห้องตัวเองเลย

จนกระทั่งเพื่อนรูมเมทเรากลับมา เราถึงย้ายกลับไปห้องตัวเอง เพราะคิดว่ามีเพื่อนแล้วเลยไม่ค่อยกลัว.. ผ่านไปแค่ 2-3 วัน ก็เกิดเรื่องขึ้นอีกค่ะ คืนนั้นเพื่อนเรานอนหลับแล้ว แต่เรายังนอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ตอนนั้นน่าจะสัก 5 ทุ่มกว่าๆ อยู่ๆ เพื่อนเราก็ดิ้นๆ กระตุกๆ เราก็เลยหันไปมอง ภาพที่เห็นคือเพื่อนเราเอามือบีบคอตัวเองอยู่ หน้าซีด ตัวเกร็งดิ้นไปมา เราตกใจมาก เลยไปเขย่าตัว แต่ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น เราทำอะไรไม่ถูกจะร้องไห้ สักพัก เพื่อนเราก็หัวเราะออกมาเสียงดังมาก หัวเราะแบบสะใจ แต่.. มันไม่ใช่เสียงเพื่อนเราน่ะสิ! แล้วเพื่อนเราก็สะดุ้งเด้งตัวลุกขึ้นมาทำหน้าตาตกใจ เหงื่อไหลเต็มหน้าผากเลย เราถามเพื่อนว่า ‘แกเป็นอะไร?’ เพื่อนเราร้องไห้ออกมา ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า ‘เมื่อกี้ฝันว่ามีผู้หญิงมานั่งคร่อมตัว แล้วเอามือมาบีบคอ หายใจไม่ออกจะตายให้ได้..’ เราก็บอกเพื่อนไปว่า ‘แต่ที่เราเห็น คือแกเอามือบีบคอตัวเองอยู่นะ!’ หลังจากนั้นพวกเราก็กลัวกันมาก คืนนั้นไม่กล้านอนต่อกันเลย.. หลังจากวันนั้น เรากับเพื่อนรูมเมทก็พากันสวดมนต์นอนก่อนทุกคืน แล้วพวกเราก็ได้ไม่เจออะไรอีก

มีช่วงหนึ่ง รุ่นพี่ผู้ชายปี 3 ที่เช่าบ้านอยู่ด้านหลังห้องเราก็มาจีบเพื่อนเรา แล้วก็เริ่มคบกัน เราจำได้ว่าพี่เขาเคยมาทักว่า ‘นี่อยู่ห้องนี้ไม่กลัวกันเหรอ? รู้ไหมว่า ก่อนที่มหาวิทยาลัยเราจะมาเช่า ห้องนี้ไม่เคยมีใครอยู่เลยนะ’ เราก็ถามว่าห้องนี้มีอะไรเหรอ? พี่เขาก็ไม่ยอมบอก แต่พวกเราก็ไม่ได้อะไรมาก เพราะพี่เขาพูดทีเล่นทีจริงเหมือนจะหยอกให้พวกเรากลัว แล้วอีกอย่าง พักหลังมาพวกเราก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรแปลกๆ แล้ว.. จนมีวันหนึ่ง เราไปนั่งกินส้มตำกันที่ห้องเพื่อนที่อยู่บนห้องเรา คือห้อง 308 ก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย เรานึกขึ้นได้ก็เลยถามเพื่อนเจ้าของห้องไปว่า ‘เออ พวกแกทำไรกันดึกๆ ทุกคืน ได้ยินเสียงโทรศัพท์ห้อง เสียงลากเก้าอี้ดังเวลาเดิมทุกคืนเลย แฟนแกโทรมาหาเป็นเวลาเหรอ?’ เพื่อนเราก็ทำหน้างงกัน บอกว่า ‘ไม่เคยใช้โทรศัพท์ห้องเลยนะ แล้วก็ไม่เคยลากเก้าอี้ตอนเกือบเที่ยงคืนด้วย 4 ทุ่มก็นอนกันหมดแล้ว..’ เรากับเพื่อนรูมเมทถึงกับหน้าเสียเลยค่ะ จนมีโอกาสได้ไปสอบถามเพื่อนที่อยู่ห้องข้างๆ บ้าง ห้องตรงข้ามบ้าง ปรากฏว่าไม่มีใครได้ยินเลยสักคน ..เสียงนั้นได้ยินเฉพาะห้องเราห้องเดียว หรือจะเป็นเสียงจากในห้องเราเอง?

จนสุดท้ายเราก็ไปสืบจากรุ่นพี่ที่คบกับเพื่อนเรา ถามว่าตกลงห้องเรามันเคยมีอะไรหรือเปล่า? รุ่นพี่เลยเล่าว่า ‘ห้องนี้เคยมีผู้หญิงอกหักแล้วผูกคอตาย ตรงตู้เสื้อผ้าน่ะ..’ พอได้ยินเท่านั้นล่ะ เรากับรูมเมทรีบย้ายออกไปอยู่หอนอกกับเพื่อนทันทีเลยค่ะ ยิ่งคิดยิ่งขนลุก ที่เราไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเราอยู่ในห้องที่เคยมีการฆ่าตัวตาย และต้องฟังเสียงของการฆ่าตัวตายซ้ำๆ ทุกคืน!

 

 

 

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับเรื่องหลอนๆที่เราคัดมาให้กัน ถ้าชื่นชอบก็เป็นกำลังใจให้เพื่อจะได้นำตอนที่น่ากลัวกว่านี้มาให้อ่านอีกเรื่อยๆ