เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

คนที่ชื่นชอบการฉีดน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมน้ำหอมขวดเดียวกันแท้ๆ แต่เมื่อฉีดใส่ตัวแล้ว กลิ่นที่ได้ในแต่ละคนกลับไม่เหมือนกัน ที่จริงแล้วเพราะร่างกายของคนมีค่า pH ที่ต่างกันนั่นเอง เมื่อน้ำหอมทำปฏิกิริยากับผิว ผลลัพธ์ความหอมที่ได้จึงไม่เท่ากัน ไม่เพียงเท่านั้น เพราะปัญหาใหญ่สำหรับคนฉีดน้ำหอมก็คือกลิ่นที่จางลงอย่างรวดเร็วของน้ำหอม ดังนั้นเรามารู้เทคนิคการฉีดให้ถูกจุด ถูกวิธี เพื่อให้หอมทั้งตัวทนทั้งวัน ชวนคนเข้าใกล้กันดีกว่า

จุดสำคัญที่ต้องฉีด

จุดชีพจร คือ จุดสำคัญในการฉีดหรือแตะแต้มน้ำหอมบนร่างกาย อันได้แก่ ข้อมือด้านใน หลังหูและด้านล่างของลำคอ หรือด้านหลังของหัวเข่า เพราะจุดเหล่านี้จะช่วยดับร้อน ทำให้กลิ่นลอยออกจากผิวไปในอากาศได้ดี และได้ความหอมทั่วเรือนร่าง รวมถึงอาจใช้สเปรย์น้ำหอมสำหรับผม หรือฉีดน้ำหอมใส่แปรงหวีผม แล้วหวีผม ก็จะทำให้กลิ่นติดที่ผมด้วย หรืออาจจะฉีดน้ำหอม ไปในอากาศด้านหน้า แล้วเดินผ่านละอองน้ำหอม ก็จะทำให้ละอองน้ำหอมติดกระจายอยู่บนเส้นผมคุณด้วย

ระยะการฉีด หลายคนอาจจะฉีดน้ำหอมลงบนมือแล้วเอาไปแตะตามจุดต่างๆ บนตัว ซึ่งถือว่าผิดมหันต์มาก เพราะถือว่าเป็นการทำลายกลิ่นของน้ำหอม โดยจะทำให้กลิ่นเปลี่ยนไปจากที่ควรจะเป็น ดังนั้น วิธีที่ถูกต้องคือ การฉีดน้ำหอมในระยะที่ห่างจากตัวประมาณ 6 นิ้ว เพียงเท่านี้ก็จะได้กลิ่นน้ำหอมติดตัวที่ไม่แรงและไม่กระจายตัวเกินไป

เติมน้ำหอมระหว่างวัน การเติมน้ำหอมระหว่างวันนั้น ขึ้นอยู่กับน้ำหอมแต่ละชนิด เช่น น้ำหอมที่มีกลิ่นพรรณไม้ มักจะติดทนนานกว่ากลิ่นหอมจากดอกไม้หรือผลไม้ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่น้ำหอมจะอยู่ติดทนนาน 4-6 ชั่วโมง ก่อนที่จะต้องเติมอีกครั้ง

ฉีดแต่พอดี การฉีดน้ำหอมมากเกินไป เพื่อให้กลิ่นติดลึก ทนนานถือเป็นอะไรที่พลาดมาก เพราะมีแต่จะทำให้คนหนีห่างด้วยกลิ่นที่แรง จนกลายเป็นเหม็นกันไปเลยทีเดียว ดังนั้น หากต้องการกลิ่นหอมแบบติดลึก แต่บางเบา ขอแนะนำให้ทาครีมบำรุงผิวกลิ่นน้ำหอมก่อน แล้วค่อยตามด้วยน้ำหอม
เก็บในที่เย็น วิธีการเก็บน้ำหอมให้คงประสิทธิภาพของกลิ่นและอายุการใช้งานได้ดีนั้น จะต้องเก็บน้ำหอมไว้ในที่แห้งและเย็น ห่างจากความชื้นและแสงโดยตรง เพราะความร้อนไม่ว่าจะแสงแดดหรือโคมไฟ ก็จะทำให้กลิ่นจางหาย และกลายเป็นกลิ่นเปรี้ยวแทน