เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ไม่ค่อยมีใครเห็นเธอทางหน้าจอสักเท่าไหร่ หายไปเลยก็ว่าได้สำหรับอดีตเซ็กซี่สตาร์คนดัง “โยโกะ ทาคาโน่” หลังเจอมรสุมชีวิตสุขขีด หลังทราบว่าสามีมีรสนิยมทางเพศเป็นไบเซ็กชวล แถมซ้ำร้ายยังป่วยจากสารพัดโรค อาทิ ซีสต์ โรคหมอนรองกระดูก ถูกให้ยากระทั่งไตวายเฉียบพลัน รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทและเยื่อหุ้มประสาทอักเสบเรื้อรังจนทำให้ความจำบางส่วนเลือนหายไป

ล่าสุดทำเอาหลายคนต้องช็อกไปตามๆกัน เมื่อได้เห็นใบหน้า “โยโกะ ทาคาโน่” มีอาการหน้าบวมหน้าเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเธอเผยเป็นผลจากการใส่รากฟันเทียมจนหน้าบวมฉึ่ง เอฟเฟกต์ยากดภูมิรักษาสมองอักเสบ เร็วๆนี้เตรียมแก้คางที่เกาหลี เพราะพูดลำบาก เริ่มพูดไม่ได้ เตือนใจคนอยากสวยให้ระวังพิษศัลยกรรม

โดยเธอเคยเล่าให้ฟังว่า

“ไปทำฟันมาค่ะ ใส่รากฟันเทียม คือด้วยความที่เรากินยากดภูมิอยู่ด้วยค่ะ โยเป็นสมองอักเสบอยู่เนื่องจากภูมิคุ้มกันตัวเองนี่แหละ ทีนี้ก็ต้องทานยากดภูมิ เราก็เคยรักษารากฟันอยู่ แล้วมันติดเชื้อ มันเป็นเอฟเฟกต์ของยาที่กดภูมิที่เรากิน ทำให้เราไม่มีภูมิ ก็รักษารากฟันอยู่ค่ะ อาการป่วยตอนนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ ต้องทานยาตลอด แต่พอตอนนี้ต้องทำรากฟันด้วย และกำลังลุ้นจะไปแก้คาง จากอดีตที่เคยผิดพลาดไป เพราะเราเคยฉีดฟิลเลอร์ แล้วมันก็ไปหมดเลย ก็เคยไปเอาออกค่ะ แต่หมอบอกว่ามันไม่หมดนะ ทำทีเดียวไม่ได้หรอก เราก็ไปเอาออกเรื่อยๆ จนเป็นแผลใต้คางอยู่นี่ ต้องผ่าทั้งในปากและผ่าใต้คาง แต่มันก็ไม่หมด และตอนนี้เหมือนมันจะพูดลำบากด้วย ก็เลยตัดสินใจจะไปให้หมอที่เกาหลีแก้ไขให้ค่ะ คือมีข้อเสนอจากทางคลินิกที่เกาหลีมา ก็คิดว่าน่าสนใจดี ก็ลองดู แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดเลยว่าเมื่อไหร่ ยังไม่ได้คุยถึงขั้นนั้น คุยแค่ว่าเราเอาผลตรวจร่างกายไปให้คุณหมอก่อน เราก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน เพราะเรามีโรคประจำตัว”

เริ่มทำศัลยกรรมแก้จุดไหนก่อน สาวโยโกะกล่าวว่า “น่าจะแค่คางก่อนค่ะ แต่ถ้าจะสวยขึ้นอีกก็ไม่ว่านะ คือตอนนี้กังวลที่สุดเพราะมันเริ่มพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด เพราะเราต้องใช้ปากซะด้วยสิ เราต้องพูดเยอะ เวลาดูดวงให้ใครเราก็ต้องพูดเยอะ ก็กังวลว่าเราจะพูดขัดๆ พูดไม่ชัด ซึ่งการรักษาเขาบอกว่าเร็วนะคะ คงไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเข้าไป แต่อาจจะแก้ไขตรงจุดปลายประสาท หรือตรงที่ยังค้างคาอยู่ ถามว่าคาดหวังมั้ย ก็คงไม่ได้คาดหวังว่าต้อง 100% แล้ว เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ก่อนอื่นเลยเราต้องยอมรับก่อนว่าความผิดพลาดของเราเป็นอะไร แล้วเราไปทำมาผิดพลาดมา อันนี้ฝากเตือนเลยใครที่คิดจะไปฉีดฟิลเลอร์ให้ระวัง ณ ตอนนี้อาจจะสวย แต่ต่อไปล่ะมันสวยหรือจะยังไง เราก็ไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรให้เราบ้าง นั่นแหละปัญหา เพราะฉะนั้นไม่แนะนำให้ทำ แต่ ณ ตอนนี้ก็หวังไว้ 70-80% แล้วกัน อยากให้มันแค่ดีขึ้นค่ะ แต่จะให้ 100% คงเป็นไปไม่ได้”

เธอยังได้กล่าวอีกว่า  “โรคประจำตัวก็คือภูมิคุ้มกันล้น มันไปทำลายเซลล์ของตัวเอง ทำลายเม็ดเลือดขาวในร่างกาย และมันไปเกาะในสมองและก้านสมอง ทำให้เรื่องอดีตๆ เราจำไม่ได้ จำได้แค่บางช่วง คือบางทีจำเรื่องได้แต่ไม่หมด เหมือนเป็นบางช่วงความจำที่มันขาดหาย ไม่ได้ทั้งหมด เวลาโดนถามอะไรมาเราก็เออๆ ไป แล้วก็มานึกว่าเราเคยไปด้วยเหรอ เคยเกิดขึ้นเหรอ พร้อมกับหัวเราะ”