เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

          ย้อนไปเมื่อยุค 90 ถือยุคเฟื่องฟูของดาราวัยรุ่น และหากเอ่ยถึงถึง มอส ปฏิภาณ และ เต๋า สมชายแน่นอนว่าต้องมีชื่อของ โมทย์- ปราโมทย์ แสงศร พระเอกนัยน์ตาซึ้ง ติดอยู่ในแก๊งพระเอกสุดฮอตด้วย เรียกว่าเป็นไอดอลของคนในยุคนั้น 

ปราโมทย์ แสงศร มีชื่อเสียงและเป็นขวัญใจสาวๆ จากการเล่นหนัง หลายเรื่องโด่งดังและยังคงเป็นที่รู้จักถึงวันนี้ อาทิ กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้, สะแด่วแห้ว, สติแตกสุดขั้วโลก, โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เป็นต้น

ดูแล้วเขาคือพระเอกอนาคตไกลบนเส้นทางในวงการบันเทิงที่ดูสดใส มอส-เต๋า-โมทย์ คือพระเอกวัยรุ่นโดดเด่น แต่แล้วชื่อของ โมทย์ ค่อยๆ จางหายไปจากวงการ เกิดอะไรขึ้นกับเขาตอนนั้น วันนี้ทีมข่าวบันเทิง tvpool ได้มีโอกาสเปิดใจทุกซอกทุกมุมของชีวิตเขา รวมถึงเรื่องราวความรักที่เจ้าตัวนิยามไว้ว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามไม่ว่าจะอยู่ในเพศไหน อะไรยังไงทุกอย่างมีคำตอบ

ทิ้งงาน ทิ้งเงิน ทิ้งชื่อเสียง เพื่อตามความฝัน 

“ช่วงที่หายไปคือไปทำเบื้องหลัง เขียนบท และทำหนังสั้น เริ่มจากที่เราได้เล่นหนังเรื่อง แตก 4 รักโลภ โกรธเลว และได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เลยเริ่มสนใจงานตรงนี้ ผมเริ่มทำหนังสั้น เขียนบทเอง พอทำหนังสั้นเรื่องที่ 3 ก็เริ่มมีการเดินทางเยอะขึ้น เพราะหนังส่งเข้าประกวดตามประเทศต่างๆ โดยเฉพาะแถบยุโรป”

“งานหนังผมทำด้วยใจรัก และช่วงนั้นได้ทุนจากรัฐบาล กระทรวงวัฒนธรรมมาด้วย ถือว่าได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ประกอบกับผมส่งหนังเข้าประกวดด้วย มีการเดินทางที่เยอะขึ้น ได้เจอผู้คนมากขึ้น เช่น เกาหลี ปูซาน ซึ่งที่เกาหลีเราได้รับรางวัลจึงมีโอกาสได้ไปเวนิส อิตาลี และแถบยุโรป ช่วงเดินทางผมได้ประสบการณ์ใหม่ เราได้เจอคนที่พูดภาษาเดียวกับเรา ได้ทำหนังอิสระเหมือนกัน ทำให้เรามีความสุขและประทับใจมาก ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ อีกด้วย”

มอส-เต๋า-โมทย์ วัยรุ่นยุค 90 พีคสุดในชีวิต 

“ผมจำได้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีจดหมายส่งมาหาผมเยอะมาก วันละเป็น 100 ฉบับ และงานก็เริ่มมีมาเรื่อยๆ เยอะมาก เมื่อก่อนมีคนจะรู้จัก มอส-เต๋า และก็โมทย์ ผมสนิทกับพี่มอสก่อน เพราะเล่นเรื่องหินกลิ้ง (กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้) ด้วยกัน แล้วก็มาเจอ เต๋า ถ่ายแบบด้วยกัน มีนัดไปเที่ยวกัน ไปกินข้าวกันตามประสาวัยรุ่นครับ ถือเป็นช่วงเวลาดีที่มีความสุข”

หวนคืนจอใน “ตี๋ใหญ่ 2 ดับเครื่องชน” เต๋า-โมทย์ เจอกันในรอบ 15 ปี 

“ผมกลับมาเล่นละครและรับเล่นเรื่องตี๋ใหญ่ของช่องโมโน 29  ส่วนหนึ่งเพราะเป็นบทที่ดีด้วย และมีฟีลลิ่งของความเป็นหนังด้วย และคาแรกเตอร์เป็นตัวละครที่ชัดมาก อีกอย่างเพราะคุยกับผู้กำกับ (ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม) รู้เรื่องด้วยมั้ง (หัวเราะ) อีกเหตุผลหนึ่งคือ ได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนเก่า เต๋า สมชาย ในบทบาทที่ต้องปะทะกัน ซึ่งแตกต่างไปจากบทเดิมที่เคยเล่น สนุกดีครับ”

“แต่เอาจริงๆ แล้วผมไม่ได้หายไปจากการแสดงหรอกครับ ยังเล่นอยู่แต่เป็นการเล่นละครเวทีโรงเล็กๆ มากกว่า ซึ่งกลุ่มคนที่รู้จักผมจะทราบว่าผมไม่ได้หายไปไหน”

“ถามว่าผมชอบละครกับละครเวทีผมชอบอะไรมากกว่า เอาจริงๆ ผมชอบละครเวทีมากกว่านะครับ เพราะละครเวทีเล่นแล้วจะสามารถได้เห็นสีหน้าแววตาของคนดูได้เลย แต่ละครเราไม่อาจจะรู้ได้ในทันทีว่าฟีดแบคเป็นอย่างไร สำหรับตัวผมเสน่ห์ของละครเวทีอยู่ที่แต่ละรอบความตื่นเต้นจะไม่เหมือนกันกันครับ”

คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ในบทบาทของการเป็นผู้จัดละคร เจ้าตัวปฏิเสธที่เดินเข้าสู่ธุระกิจละคร เหตุผลเพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่ยากเกินไป 

“เรื่องงานผู้จัดละคร ผมไม่คิดเลยครับ ผมรู้สึกว่าเรายังไม่เก่งขนาดนั้น ยังรู้สึกว่ามันเป็นงานที่ยากอยู่ครับ”

คำครหาพระเอกเข้าถึงอยาก พูดไม่รู้เรื่อง โลกส่วนตัวสูง เป็นส่วนหนึ่งทำให้งานในวงการบันเทิงหดหาย 

“สำหรับผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ ไม่รู้จะพูดยังไงดี เราก็เป็นของเราแบบนี้ แค่มีความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น แต่บางคนอาจจะไม่อยากร่วมงานกับผม เพราะผมอาจจะคุยไม่รู้เรื่องก็ได้มั้งครับ (หัวเราะ) หรือบางคนอาจจะคิดไปก่อนว่าเราอาจจะไม่รับอยากเล่นละครเขา หนังเขาเลยเลือกที่จะไม่ติดต่อเลยก็มี (หัวเราะ) มีผช่วงนึงความคิดผมก็ป่วยๆ นิดนึงด้วย รู้สึกว่าการทำงานไม่มีความสุขกับงานละครเลย ทำงานเสร็จรับเงิน มีแค่นี้เองเหรอ เลยเลือกทิ้งงานไปเลย ซึ่งตอนนั้นก็มีงานติดต่อมาเข้ามานะ แต่ผมอาจจะเป็นพวกสุขนิยมมั้ง (หัวเราะ) ”

เปิดมุมชีวิตในวงการบันเทิงไปแล้ว ในส่วนมุมชีวิตคู่ เรื่องความรักเขาบอกว่าเคยอกหักแบบเจ็บปวดที่สุดในชีวิตมาแล้ว ทำให้มุมมองเรื่องความรักเปลี่ยนไป

“ผมยังโสดครับ ครั้งหนึ่งผมเคยให้สัมภาษณ์ไปแบบประชดสื่อ (หัวเราะ) ด้วยการบอกว่าผมชอบผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้ คราวนี้เลยเป็นประเด็นที่สงสัยกันใหญ่เลย จะบอกว่าความรักของผมเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า ความรักไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศชายหรือเพศหญิง ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันไม่มีเพศแล้วด้วยซ้ำ มีความซับซ้อนของเพศไปหมดเลย เลยไม่ได้รู้สึกอะไร หากเรารู้สึกดีกับใครก็ดีครับ ไม่จำเป็นต้องไปปฏิเสธอะไร”

“เรื่องครอบครัวมีลูกสำหรับผมเรื่องใหญ่มากครับ ผมยังไม่ได้คิดถึงตอนแก่เลย แก่ๆ ไปแล้วเราอาจจะอยู่คนเดียวก็ได้ ตอนนี้ยังไม่เจอครับ เลยพูดแบบนี้ไปก่อน (หัวเราะ)”

“เหตุการณ์ความรักที่สร้างเจ็บปวดคือ คนที่เราคบกันเขาไปเจอคนใหม่และแต่งงานกับฝรั่ง ผมอยู่เมืองไทยทำอะไรไม่ได้เลย มันเจ็บปวดมาก อัดอั้นทำอะไรไม่ได้ ช่วงนั้นอยู่ในบ้านก็ไม่ได้ ขับรถยังอึดอัดเลย อยู่ในที่แคบไม่ได้เลยตอนนั้น หนักมาก แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้”

ได้รู้ทุกมุมชีวิตของไอดอลยุค 90 ขวัญใจของใครหลายคนไปแล้ว ปัจจุบันอดีตพระเอกคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร นอกจากนี้เขายังกำลังดำเนินการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ด้วยการผลิตหนังที่เขารัก ซึ่งตอนนี้เขียนบทเสร็จแล้ว รอเพียงแคสนักแสดงเท่านั้น  

นี่แหละความรักของผู้ชายที่ชื่อ “ปราโมทย์ แสงศร” ทุกกลไกของการเดินทางถูกขับเคลื่อนด้วยรักจริงๆ