เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณี ศาลอ่านคำพิพากษาให้จำคุก 8 ปี เบนซ์ เรซซิ่ง-อัครกิตต์ วรโรจน์เจริญเดช สามีของ แพท ณปภา นักแสดงและพิธีกร ฐานร่วมกันฟอกเงินเกี่ยวกับยาเสพติดของเครือข่ายบอย นาคคำ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้น

ล่าสุด ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ประกันตัว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดให้ติดกำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ (กำไล EM) กับจำเลยด้วย และห้ามมิให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของกำไล EM อย่างแท้จริงว่าจุดประสงค์มีไว้เพื่ออะไร ทีวีพูล ได้รวบรวมข้อมูลของกำไล EM มาให้ได้ทราบกัน ซึ่งกำไล EM ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับต่างประเทศ และในประเทศไทยเองก็ได้นำเรื่องนี้เข้ามาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2556 โดยพลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงนามในกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจำคุกโดยวิธีการอื่น ที่สามารถจำกัดการเดินทางและอาณาเขต พ.ศ. 2556

กฎกระทรวงซึ่งเพิ่งประกาศใช้ฉบับนี้เป็นเรื่องของ วิธีการลงโทษคนที่กระทำความผิดอาญา โดยไม่ต้องจำคุกในเรือนจำ แต่ให้เปลี่ยนมาใช้วิธีการอื่นที่สามารถจำกัดการเดินทางและอาณาเขตของนักโทษได้ คือ ใช้อุปกรณ์รับส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว และให้ผู้ที่อยู่ในระหว่างคุมประพฤติโดยไม่ต้องถูกขังในเรือนจำ อุปกรณ์นี้เรียกว่า EM หรือ “Electronic Monitoring”

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring ; EM) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมผู้กระทำผิดแทนการจำคุกในเรือนจำ ประกอบด้วยตัวอุปกรณ์ส่งสัญญาณ มีลักษณะคล้ายนาฬิกาหรือสายรัดข้อมือข้อเท้า ตัวอุปกรณ์รับสัญญาณ และศูนย์ควบคุมกลาง ที่ใช้ติดตามตัว เมื่อสวมใส่อุปกรณ์ที่ข้อมือ ข้อเท้า หรืออวัยวะส่วนอื่นก็จะสามารถตรวจสอบการเดินทางของผู้สวมใส่ได้

 

การใช้วิธีการลงโทษแบบใหม่นี้ ต้องให้ศาลเป็นผู้ออกคำสั่ง โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นผู้ยื่นคำร้อง ซึ่งเหตุในการใช้วิธีการลงโทษแบบใหม่ตามที่กฎกระทรวงระบุไว้ คือ

(1) ผู้ซึ่งต้องจำคุกจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก

(2) ผู้ซึ่งต้องจำคุกจำเป็นต้องเลี้ยงดูบิดา มารดา สามี ภริยา หรือบุตร ซึ่งพึ่งตนเองมิได้และขาดผู้อุปการะ

(3) ผู้ซึ่งต้องจำคุกเจ็บป่วยและต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

(4) ผู้ซึ่งต้องจำคุกมีเหตุควรได้รับการทุเลาการบังคับให้จำคุกด้วยเหตุอื่น ๆ

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2556 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวเกี่ยวกับกฎใหม่นี้ว่า มาตรการควบคุมนักโทษแทนการคุมขังในเรือนจำ ถือเป็นวิวัฒนาการ หลายประเทศ อาทิ อังกฤษ แคนาดา สิงคโปร์ บราซิล อิสราเอล และเกาหลีใต้ได้นำเครื่องมือที่เรียกว่า EM หรือ “Electronic Monitoring” มาใช้แทนการคุมขังในเรือนจำแล้ว

รัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า กระทรวงยุติธรรม จะต้องออกกฎระเบียบและวิธีการปฏิบัติให้เร็วที่สุด และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การใช้มาตรการใหม่จะเน้นไปที่

1) กลุ่มผู้ต้องขังชรา หรือป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งต้องออกไปรักษาเป็นประจำหรือหากจำคุกต่อไปก็ต้องเสียชีวิต

2) กลุ่มที่ต้องออกไปดูแลลูกและภรรยา หรือพ่อแม่ที่แก่ชราและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

3) กลุ่มนักโทษทีมีเหตุทุเลาการลงโทษ เช่น ต้องคลอดบุตร หรือวิกลจริต โดยญาติจะต้องร้องขอต่อเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลอีกครั้งส่วนศาลจะมีดุลยพินิจอย่างไร ถือเป็นอำนาจของศาล

การลงโทษแบบใหม่ในแง่หนึ่งก็เปิดโอกาสให้นักโทษกลับคืนสู่สังคมได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เป็นผลดีต่อครอบครัวและคนรอบข้างของผู้กระทำความผิด ในอีกแง่หนึ่งก็อาจมองได้ว่าอาจเป็นการปล่อยอาชญากรออกมาอยู่นอกคุกเร็วกว่ากำหนด ซึ่งจะดีหรือไม่ดีต่อผู้ต้องขัง ครอบครัว และสังคมโดยรวม คงต้องรับฟังเสียงจากทุกคนในสังคมประกอบกัน

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคำถามน่ากังวลว่า อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์นั้นมีประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรงเพียงพอหรือไม่ เพราะการควบคุมมนุษย์ด้วยเทคโนโลยีย่อมเกิดข้อผิดพลาดหรือเกิดการฉ้อฉลขึ้นได้ รวมถึงอาจทำให้คนไม่กลัวการกระทำความผิดเพราะวิธีการลงโทษไม่เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพจนเกิดความทุกข์ทรมานเกินไป

แม้ว่าข้อสังเกต ข้อกังวล ทั้งจากภาคส่วนต่างๆ และสังคม จะมีอยู่ไม่น้อย แต่หากยังไม่เคยทดลองใช้วิธีการลงโทษด้วยการจำกัดการเดินทางและอาณาเขตมาก่อนเลย ยังคงยึดถืออยู่เพียงว่าการจำคุกเป็นการลงโทษเพียงแบบเดียวที่ยอมรับได้ ก็คงจะเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า วิธีการแบบใดจะเข้ากับ “สังคมไทย” ได้หรือไม่

ทั้งนี้การจำกัดการเดินทางและอาณาเขต อาจจำกัดภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละกรณีไป โดยอาจให้อยู่แต่เฉพาะบริเวณบ้านพักอาศัยหรือในสถานที่ที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ หรือกำหนดอาณาเขตที่ห้ามเดินทางก็ได้ หรืออาจจะใช้วิธีจำกัดการเดินทางเป็นบางช่วงเวลาก็ได้

TV Pool Online