เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

สำหรับ เสือ-เสฎกานต์ ศุขพิมาย ลูกชายคนโตของ เสก เสกสรรค์ หรือ เสก โลโซ กับอดีตภรรยา กานต์ วิภากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเด็นเดือดล่าสุดที่ คุณแม่กานต์ และ แซนวิช ปภาดา อดีตภรรยาของคุณพ่อ รวมตัวกันขับไล่ อีฟ แฟนสาวคนปัจจุบัน ออกจากบ้าน ซึ่งก็มีข่าวออกมาอีกว่า แผนการดังกล่าวนั้นมีหนุ่มเสือรู้เห็นเป็นใจด้วย

โดยล่าสุดทางด้านของ เสือ เสฎกานต์ ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประดราม่าดังกล่าว ในงาน คอนเสิร์ตราชาแห่งร็อก เพื่อช่วยเหลือเด็กในชนบท ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า รู้สึกเครียด และเหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ตนก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะประสานรอยร้าวภายในบ้านให้ได้ แถมยังตั้งเป้าให้เป็นภารกิจหลักของตัวเองเลยด้วย

วันนี้เสือมาดูแลคุณพ่อขึ้นคอนเสิร์ต ?
“ใช่ครับ ผมก็มาทุกงานครับ วันนี้ก็เป็นงานการกุศล และก็เป็นวันเกิดของเพื่อนเขาด้วย”

คุณพ่อแข็งแรงแล้วใช่ไหมตอนนี้ ?
“ครับ ก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ครับ คือตอนเขาขึ้นเวที มันเหมือนกับพลังมันเข้ามาเลยครับ ก่อนขึ้นเวทีเขาก็แบบจะเพลียๆ เงียบๆ แต่พอขึ้นเวทีพลังเขาก็มา เขาก็พร้อมเล่น ทำงานได้”

เขาเต็มที่เหมือนสมัยก่อนเลยไหม ?
“พูดจริงๆ ก็ไม่ถึงกับตอนนั้นนะ ไม่เท่ากับสมัยก่อน เพราะว่าตอนนี้ก็เป็นช่วงปรับปรุงตัวเอง ก็ยังไม่ได้เท่าแต่ก่อน แต่ก่อนเขามีแรงเยอะครับ เขาเด็กกว่านี้เยอะ ตอนนี้เขาก็เริ่มแก่แล้ว แล้วเขาก็มีโรคมีอะไร”

เราได้มาทำหน้าที่ดูแลคุณพ่อ รู้สึกอย่างไรบ้าง ?
“ผมก็ดูแลเขา อยู่กับเขาเกือบทุกวันครับ ไปบ้านเขา ก็ดูแลเรื่องตาราง เรื่องสุขภาพเขา วันนี้ก็ช่วยปลุกเขาครับ (หัวเราะ) เขาไม่ยอมตื่น อยู่บ้านเขาก็หลับนานมาก หลับถึงกลางคืนเลย เราก็ต้องไปปลุกว่าพ่อตื่นได้แล้ว จะต้องไปเล่นแล้ว แล้วก็ดึงเขาขึ้นมาเลย”

ทำไมเราถึงมาดูแลคุณพ่อเต็มตัว ?
“ก็คืออันนี้ผมแพลนกับแม่ไว้แล้ว และก็คุยกับคุณพ่อด้วยว่า จะมาช่วยเป็นทีมดูแล มาช่วยรับงาน ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้ใกล้ชิดกับเขาเพิ่มขึ้นครับ”

เขาเชื่อฟังผู้จัดการอย่างเราไหม ?
“เชื่อครับ เขาเชื่อฟังผมคนเดียวเลยครับ คนอื่นเขาก็มีเกเรอะไรนิดหน่อย แต่ถ้ากับผม ผมพูดว่า ‘พ่อกลับนะ’ เขาก็กลับ”

จากที่เราเห็น ตอนนี้ยังมีอะไรต้องห่วงไหม ?
“อ๋อ มันก็มีเรื่องเครียดเยอะอยู่นะครับ เรื่องคดี เรื่องแม่ กับเรื่องอีฟ เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเครียดมาก เรื่องนี้ก็ทำให้ผมเครียดนะครับ แต่ผมก็พยายามให้เขาโฟกัสเรื่องทำงานอย่างเดียว ส่วนเรื่องพวกนี้เดี๋ยวผมจัดการให้”

กับเรื่องล่าสุดเขาเป็นอย่างไรบ้าง ?
“เขาก็เครียดนะครับ เรื่องล่าสุดนี้ก็พยายามจะให้มันผ่านไป ตัวผมเองไม่ได้ซีเรียสอะไร ขนาดไลฟ์นั้นผมยังไม่ได้ดูเลย เพราะผมไม่ได้แบบสายนี้ (หัวเราะ)”

เสือได้ให้กำลังใจพ่ออย่างไรบ้าง ?
“ผมก็ไปอยู่กับเขาทุกวันที่บ้านเขา นอนที่บ้านเขาเลย ก็พอเขาไม่ต้องเครียดนะ เสืออยู่เป็นเพื่อน แล้วก็มาช่วยทำงานด้วย ไม่ต้องเครียด เขาเครียดเรื่องหลายๆอย่างเลย เขาทำนาฬิกาหาย วันนั้นแหละครับ นาฬิกาโรเล็กซ์ของเขาหาย เขาก็เลยเครียดมาก ผมก็เลยบอกเขาว่าพ่อไม่ต้องเครียดนะ เดี๋ยวเสือช่วยตามหาให้”

เรื่องนาฬิกาก็มีข่าวว่าอีฟเป็นคนเอาไป เราทราบข้อเท็จจริงไหม ?
“เอ่อ…อันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจริงเปล่า ยังไม่อยากพูดนะ (หัวเราะ) คือพ่อเขาก็รู้นะว่าของเขาหาย เขาไม่ได้โง่ เขาก็คิดออกว่าอะไรเป็นอะไร ใครทำไร แต่เรื่องนี้ผมก็ยังไม่อยากพูดดีกว่า”

เรารู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ครอบครัวมีเรื่องอีกแล้ว ?
“ผมก็รู้สึกเครียดนะครับ คือเรื่องแบบนี้ ที่จริงถ้าผมคิดเองนะ มันแบบ มันจบไม่ได้ยากอะไรมากครับ ถ้าสองฝ่ายเข้าใจกัน เรื่องคดีก็เดี๋ยวผมพยายามคุยกับแม่ เพราะแม่เขาเป็นคนใจร้อนมาก แบบเขาเข้าใจผิดคนง่ายมาก เขาคิดว่าเขาถูก แบบนี้เขาก็จะอารมณ์ขึ้น ก็จะทำให้พ่อเครียดด้วย อันนี้ผมก็กังวลนิดหน่อย แต่ว่าก็ต้องค่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ ครับ คือผมพูดจริงๆ ถ้าคุยกันเข้าใจ คุยกันด้วยคำพูดจริงๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรมาก เพราะว่าทุกอย่างมันซ่อมแซมได้ครับ เขาก็แค่อย่าอารมณ์ขึ้น”

เราเบรกคุณแม่อย่างไรบ้าง ให้เขาเย็นลง ?
“ช่วงนี้ผมไม่ได้เจอเขาหลายวันแล้ว เพราะผมอยู่กับพ่อ เขาก็ทำงานอยู่ที่คอนโด เขาทำพวกเสื้อผ้า ก็ยังไม่ได้คุยกับเขาจริงๆ แต่ว่าเดี๋ยวเมื่อไหร่ว่างเจอกัน ผมก็จะคุยกับเขาแบบซีเรียสว่าจะซ่อมแซมคดี หรือเรื่องแบบนี้ยังไง”

ส่วนตัวเรา เราคิดว่าเราถูกกีดกันให้ห่างจากพ่อไหม ?
“ไม่นะ”

แต่มีข่าวว่าอีฟกีดกันเรากับพ่อ ?
“ไม่ๆ อันนี้เสือไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก (หัวเราะ)”

จริงๆ แล้วเขามาวุ่นวายกับงานพ่อไหม ?
“ข่าวนี้สักพักแล้วใช่ไหม คือ…ผมก็ไม่ได้ติดตามอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมมาเป็นผู้จัดการแล้ว ก็ไม่มีใครกีดกันได้แล้วครับ”

ที่ผ่านมาเขาไม่ได้มายุ่มย่าม หรือก้าวก่ายหน้าที่เราใช่ไหม ?
“ไม่นะครับ ก็สิ่งที่ยากที่สุดกับการเป็นผู้จัดการ ก็คือเรื่องแม่กับอีฟนี่แหละครับ ถ้าเขามาเจอกัน มันก็ทำให้งานเสีย ผมก็อยากดูแลพ่ออย่างเดียว ผมอยากโฟกัสแค่เรื่องผู้จัดการ ไม่อยากไปโฟกัสเรื่องแบบนี้ครับ”

เราทราบข่าวเรื่องการทำของหรือทำคุณไสยภายในบ้านไหม ?
“ผมไม่เชื่อครับ ไม่เชื่อเลย คือผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ ซึ่งผมก็บอกแม่ไปแล้วว่าผมไม่เชื่อนะ แต่ถ้าแม่ก็จะเชื่อ อันนั้นมันก็แล้วแต่ความเชื่อเขา เพียงแค่ผมไม่เชื่อก็เท่านั้นเอง”

คุณพ่อเรามองเรื่องนี้ยังไง ?
“เขาก็ไม่เชื่อครับ อย่างก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนชวนเขาไปทำพิธี หรือไปทำอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่ไป”

ที่ผ่านมาตัวเราเองเคยเห็นของพวกนี้อยู่ในบ้านมาก่อนไหม ?
“ไม่เคยนะ คือผมไม่ได้ไปบ้านนั้นมาสักพักแล้ว และก็ไม่ได้ไปรื้อค้นของด้วย เพราะเวลาผมไป ผมก็จะแค่ไปอยูกับเขา ไปนั่งทานอาหารที่โต๊ะทานข้าว และก็กลับไปนอนห้อง”

อย่างล่าสุดคุณแม่เราก็โพสต์เฟซบุ๊กเหมือนว่าน้อยใจคุณพ่อ ?
“ผมไม่ได้ตามเฟซ เอ่อ…อันนี้ผมก็ไม่ได้ติดตามนะครับ (หัวเราะ)”

เรามีความคิดว่าจะช่วยประสานให้ครอบครัวกลับมาแข็งแรงไหม ?
“ผมก็พยายามนะครับ และผมเองก็มีแผนการของผมที่จะประสานกับพ่อ ประสานกับแม่ และก็ทุกๆ คน แต่เอาไว้ให้ผมประสานเสร็จผมค่อยออกมาพูดเนอะ ผมอยากจะแถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง”

แสดงว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าจะซ่อมแซมครอบครัว ?
“ใช่ครับ ผมตั้งใจไว้แล้ว แต่ถ้าแผนการผมสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ผมจะออกมาแถลงข่าวนะครับ”

ที่เราบอกว่าจะซ่อมแซม เราคิดไว้ว่าจะซ่อมยังไง หรือซ่อมใคร ?
“ซ่อมแม่ ซ่อมพ่อ และถ้าสามารถซ่อมเขาทั้งสองคนได้ มันก็จะสามารถซ่อมทางอื่นได้เหมือนกันครับ ไปเรื่อยๆ”

เราตั้งใจว่าจะสามารถทำให้ภรรยาทั้ง 3 คนของพ่อ อยู่ด้วยกันอย่างสันติ ?
“โห…แบบนี้ไม่รู้ว่าได้หรือเปล่า”

วันเกิดคุณพ่อที่ผ่านมา เรามอบอะไรเป็นของขวัญให้ท่าน ?
“ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศครับ ไปทำงานที่พม่า ผมก็เลยไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานวันเกิดเขา แต่ผมก็มีความรักให้อยู่แล้วครับ และก็นี่แหละครับ ตั้งใจไว้ว่าจะช่วยเขา จะมาช่วยครอบครัวเราให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม นี่คือภารกิจของผมครับ”

ตอนนี้งานของคุณพ่อเยอะขนาดไหน ?
“เยอะครับ พรุ่งนี้ก็ต้องเดินไปทางลาว ไปต่างประเทศ คือในช่วง 1 เดือน คุณพ่อก็จะมีงาน 10-14 คอนเสิร์ต แต่เราไม่ได้มีลิมิตนะครับว่าเขาจะรับมากน้อยแค่ไหนต่อเดือน ซึ่งเรื่องนี้ผมก็อยากจะคุยกับทีมงาน คุยกับแม่ และผู้จัดการที่รับงานเหมือนกัน เพราะผมอยากให้พ่อมีเวลาได้พักผ่อนด้วย ไม่อยากให้ท่านแสดงคอนเสิร์ตเยอะจนเกินไป มันต้องมีวันพักบ้าง”

อย่างอาการป่วยไบโพลาร์ของคุณพ่อ ที่ทำให้ท่านจะต้องนอนเร็ว แบบนี้มันส่งผลต่องานไหม ?
“ไม่นะครับ คือโดยปกติแล้วเขาเป็นคนนอนไม่เร็ว เพียงแต่เวลาที่เขานอน เขาจะนอนดึกและนอนยาว นอน 12 ชั่วโมงต่อวันเลย อย่างเมื่อวานนี้เขาเล่นดึก กลับถึงบ้านก็ไม่รู้กี่โมง แต่เมื่อสักครู่นี้เองครับ ประมาณ 1 ทุ่ม เขายังไม่อยากลุกเลย คือเขาตื่นแล้วมีสติแล้วนะครับ แต่เขาไม่อยากลุกจากเตียง ซึ่งผมนี่แหละที่เป็นคนไปช่วยดึงพ่อให้ลุกขึ้น”

ขออนุญาตถามย้อนไปที่ข่าว มันมีข้อมูลว่าเราทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปขับไล่อีฟ ?
“ก็…ก็ไม่รู้นะครับ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

เรามีส่วนรู้เห็นกับแผนการนี้ไหม ?
“อันนี้ผมรู้ครับ เพราะเขาบอกผมว่าเขาจะทำการขับไล่ แต่ตอนนี้ก็ไล่สำเร็จแล้วนะครับ เขาออกไปแล้ว”

มันมีสัญญาใช่ไหมว่า ถ้าเรามา อีฟจะต้องออกจากบ้าน ?
“อ๋อ ก็น่าจะใช่ครับ (หัวเราะ) อันนี้ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอยู่แล้ว เพราะผมโฟกัสแต่เรื่องพ่อ”

ถ้าถามความรู้สึกเรา เราอยากให้เขาออกจากบ้านไหม ?
“คือผมอยากให้พ่อรู้สึกแฮปปี้มากกว่า ถ้าหากเขาเลือกแบบไหน ผมก็แล้วแต่เขา อยากให้เขาสบายใจ หรือถ้าเขายังอยากอยู่กับคนนี้ ก็…ก็ไม่รู้ว่าจะให้เขากลับมาหรือเปล่า และก็ไม่รู้เหมือนกันด้วยว่าพ่อคิดอะไรกับเขาหรือเปล่า เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

ใจจริงเราอยากให้เขากลับมาไหม ?
“ถ้าออกไปแล้วก็น่าจะต้องไปอยู่อีกที่หนึ่งเลย เพราะที่บ้านก็มีแต่น้องๆ มีแต่เด็กๆ มีครอบครัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวผมเองก็ไม่ใช่คนเลือก”

ภารกิจของเราที่ต้องทำเหนื่อยไหม เพราะเหมือนจะต้องซ่อมแซมทุกอย่างเลย ?
“ถ้าเรื่องคอนเสิร์ตของพ่อผมไม่ค่อยเหนื่อยหรอกครับ ผมทำได้อยู่แล้ว รวมไปถึงเรื่องการดูแลตาราง ผมคิดว่าผมทำได้ แต่เรื่องที่เหนื่อยจริงๆ ผมมองว่าเป็นเรื่องครอบครัวมากกว่า เรื่องแม่กับอีฟ ซึ่งมันเป็นเรื่องเหนื่อย”