เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เปิดใจ “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์” น้ำตาร่วง หลังต้องสูญเสียคุณแม่ผู้เป็นที่รัก

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.64 พิธีไว้อาลัยคุณแม่ดาวทิพย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มีครอบครัว ญาติ และคนในวงการบันเทิง หลากหลายคน เช่น อั้ม พัชราภา , ไมค์ ภัทรเดช ,จิ๊บ วสุ , ญิ๋งญิ๋ง ศรุชา ฯลฯ เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยรัก และเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พิธีจึงจัดเป็นการส่วนตัวในครอบครัว ญาติ ผู้ใหญ่และเพื่อนที่สนิทของคนในครอบครัวเท่านั้น และมีการเว้นระยะห่าง ตรวจสว็อป เทสต์ เพื่อความปลอดภัย นอกจากนั้นยังมีคนทั้งในและนอกวงการบันเทิง ที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมพิธี ก็ได้ส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจกับครอบครัว “วัชรตระกูล” ด้วย

 

หลังจากที่ประกอบพิธีอาลัยคุณแม่ดาวทิพย์ วัชรตระกูล ณ โบสถ์พระมหาไถ่ ร่วมฤดี เสร็จเรียบร้อยแล้ว ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยความรู้สึก หลังจากที่ครอบครัวต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยความเศร้าโศกและน้ำตาคลอเป็นระยะๆ ว่า

เหมือนแม่ดีขึ้น แต่แจ้งในรายการว่าแม่มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด พอติดเชื้อทุกอย่างก็ค่อยๆ แย่ลง จริงๆ คุณหมอก็แจ้งตั้งแต่ต้นว่าคุณแม่ไม่น่าจะอยู่ได้นานมาก จริงๆ แล้วน่าจะเกินวันหรือสองวัน แต่ว่าท่านก็สู้ เพราะรู้ว่าพวกเราน่าจะไม่ไหวถ้าคุณแม่ไปกะทันหัน ในแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ คุณแม่เป็นเส้นเลือดในสมองแตก แตกในส่วนที่เป็นแกนสมอง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในสมอง ในฟิล์มมันขึ้นเลยว่าคุณแม่ขาดอากาศหายใจนานเกินไป และทำให้มีภาวะสมองบวมทั้งหมด บวมจนไม่สามารถที่จะทำการผ่าตัดใดๆ ได้เลย

แต่ว่าช่วงที่คุณแม่เปลี่ยนมาใช้เครื่องช่วยหายใจขนาดเล็ก ทุกครั้งที่เราเข้าไป เขาได้ยินเสียงลูก คุณแม่ก็จะสามารถหายใจได้เกินจากเครื่องที่ตั้งไว้

คุณหมอแจ้งตั้งแต่ต้นว่า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องรักษาคุณแม่ (เสียงสั่น) เพราะว่าไม่น่าจะไปต่อได้ แต่ทางครอบครัวก็ตกลงร่วมกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะให้คุณแม่เป็นคนเลือกเอง เราจะให้โอกาสคุณแม่ เราจะไม่ปล่อยมือคุณแม่ ตราบใดที่คุณแม่ไม่ปล่อยมือจากเรา

ครอบครัวก็ยืนยันที่จะรักษา จนเราใช้ยาตัวสุดท้ายที่ใช้ได้กับคุณแม่ จนไม่มียาตัวไหนที่สามารถยื้อคุณแม่ได้แล้ว ก็ได้พูดกับคุณแม่ตลอดว่าถ้าเหนื่อย ไม่ไหว ให้คุณแม่ค่อยๆ จากไปอย่างสงบ

เป็นเคสที่คุณหมอบอกว่าปาฏิหาริย์ เพราะอยู่มาได้นาน แต่คุณแม่รู้ว่าพวกเราไม่น่าจะไหว (เสียงสั่น) เพราะมันกระชั้นชิด ในครอบครัวคุณแม่เป็นศูนย์กลางของครอบครัว คุณแม่ค่อนข้างทราบว่าครอบครัวไม่ไหวจริงๆ ก็เลยสู้เพื่อให้เราได้ทำใจ

เราพูดให้กำลังใจกันตลอดว่า แม่อยู่ได้เพราะความเชื่อของเราว่าคุณแม่จะลุกขึ้นมาได้ หมอก็จะบอกว่าครอบครัวเรากำลังใจดี เพราะถ้าเป็นญาติคนอื่นๆ ก็อาจจะถอดใจ และค่อยๆ ลดการช่วยเหลือลง แต่ครอบครัวเราก็ยังหวังว่าจะเชื่อให้มากที่สุด

คนรอบตัวก็พูด หมอก็พูดว่าคุณแม่แย่มากๆ ให้ทำใจไว้ก่อน แต่จริงๆ ครอบครัวเราไม่เคยทำใจไว้เลย เพราะเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นครอบครัวเราก็ได้ แต่พอวันหนึ่งเราก็เห็นว่าร่างกายคุณแม่ค่อยๆ แย่ลง ก็บอกแม่ว่า ทุกคนรักแม่ ให้คุณแม่เลือกเองค่ะ

คุยกับแม่ตลอด ใช้ทุกยาที่ช่วยคุณแม่ได้ ถ้ายาตัวสุดท้ายที่ชื่ออะดรีนาลีนต้องใช้ ก็บอกกับคุณแม่ว่าอย่าใช้เลยยาตัวนี้ เพราะมันเป็นตัวสุดท้ายแล้ว

ตอนหลังก่อน 1-2 วันก่อนที่คุณแม่จะเสีย เราก็ต้องใช้ยาอะดรีนาลีนจริงๆ เราเองก็ไม่ทราบว่าแม่เสียจริงๆ ตอนเวลากี่โมง เพราะยามันช่วยกระตุ้นชีพจรด้วย แต่ว่ามันมีช่วงที่ใช้ยาคุณแม่ก็ไม่ไหวแล้ว

คือเรายังมีหวังเสมอจนถึงนาทีสุดท้าย ก็บอกแม่ว่าสู้นะอีกนิดเดียว ก็ไม่เคยพูดว่าจะปล่อยมือจากท่านเลย เราจะพูดตลอดว่าถ้าแม่ไหวให้แม่สู้ต่อ แต่ถ้าแม่เหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว

เพราะโลกก็มีความวุ่นวาย มีความทุกข์ ถ้าคุณแม่อยากจะจากไปอย่างสงบ ไปอยู่กับพระเจ้า หนูก็ให้คุณแม่ได้เลือกชีวิตของตัวเองค่ะ

จริงๆ หนูว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ทำใจ แต่ถามว่าเข้มแข็งไหม หนูว่าทุกคนที่เคยสูญเสียจะรู้ว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง (น้ำตาคลอ) มันอาจจะดูเหมือนไม่ได้ร้องตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราแค่นึกถึงมันก็จุกจริงๆ ค่ะ

เราก็ทำหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง แต่ก็มีพี่ๆ ที่สนิทหลายๆ ท่านที่สนิทก็เมตตามาช่วยงานเยอะมากค่ะ วันนี้ตอนทำพิธีบอกอะไรท่านเหรอคะ คือคุณแม่เป็นนักสู้มาตลอดตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ จนกระทั่งเวลาที่ป่วยคุณแม่ก็สู้ที่จะอยู่จนคุณหมอเองก็ยังคิดว่ามันเป็นปาฏิหาริย์

สำหรับ 3 เดือน คือวันแรกที่เรารักษาที่โรงพยาบาล เรามีความรู้สึกว่าถ้าจะต้องรักษาระยะยาว เราอยากจะย้ายไปไปโรงพยาบาลที่ในระยะยาวสามารถจะช่วยครอบครัวเราได้ในเรื่องของค่าใช้จ่าย

ก็มีการส่งเอกสารต่างๆ ไปยังคุณหมอ หลายๆ ท่านก็แจ้งมาว่าไม่อยากเชื่อว่าอยู่มาได้เป็นอาทิตย์ หนูเชื่อว่าคุณแม่สู้จนวินาทีสุดท้าย จนมั่นใจว่าเราทำใจได้ในระดับหนึ่ง

คุณแม่จะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป การจากไปของคุณแม่เป็นการจากไปเพียงชั่วคราว ถ้าหลายๆ ท่านที่เป็นคริสเตียนก็จะรู้ว่ามันเป็นการจากแค่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวเราก็เจอไปเจอกันอีกทีบนสรวงสวรรค์

จริงๆ ท่านไม่ได้ลำบากอะไรเลย คนที่อยู่คือคนที่ทุกข์ใจ หนูเองก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อเป็นแบบนี้เหมือนกัน ท่านก็ร้องไห้ตลอดเวลา หนูกับพี่สาวเองทุกวันนี้ต้องส่งคุณพ่อเข้านอนก่อน เราถึงจะกล้านอน เพราะคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ด้วยกันมา 40 ปี อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

คือหน้าที่หลังจากนี้คงเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ มันไม่ใช่เวลาที่เราจะอ่อนแอ เสียใจ หรือทุกข์ใจคนเดียว เพราะว่าเราก็เป็นลูกที่มีทั้งพ่อและแม่ วันนี้เราทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อแม่แล้ว (ร้องไห้) เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดกับพ่อเราด้วยเหมือนกัน

อยากพูดอะไรกับคุณแม่ไหม?
ไม่มีเลยค่ะ (น้ำตาคลอ) จริงๆ ทุกคนในครอบครัวมีความรู้สึกว่าก็อยากจะจากไปอยู่กับคุณแม่ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าเรารู้ว่าโลกที่คุณแม่อยู่มันคงสวยงามมากๆ เพราะขนาดแม่รักเรามากๆ

แม่ยังเป็นคนเลือกเองเลยว่าที่จะจากไปอย่างสงบ ก็คิดว่าข้างบนมันคงต้องสวยงามมาก อยากบอกแม่ว่า แม่แค่ไปรอเราเพียงชั่วคราว วันนึงข้างหน้าเราก็จะได้อยู่ด้วยกันและก็จะไม่มีการจากลาอีกแล้ว

ส่วนเรื่องพิธีหลังจากนี้จะมีพิธีแบบเดิมอีกครั้งนึงในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เราจะทำพิธีเคลื่อนย้ายร่างคุณแม่จากโรงพยาบาลสู่โลงศพ และไปฝังที่จังหวัดสระบุรีค่ะ ทุกครั้งที่คิดถึงก็คงไปหาท่านค่ะ.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

by TVPOOL ONLINE