เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

อดีตนางเอกชื่อดังแหม่ม อลิษา ที่จะมาเปิดเผยชีวิตสุดพลิกผันจากนางเอกแถวหน้าสู่แม่ค้าอาหารตามสั่ง เพราะเจอมรสุมโรครุมเร้า แถมโดนบูลลี่เรื่องอ้วนมาตลอดชีวิต ต้องกินยาลดความอ้วนติดต่อกันนานนับ 10 ปี อีกทั้งเธอยังเคยล้มละลายเป็นหนี้ 20 ล้านบาท พร้อมควงแฟนสาวหล่อรุ่นน้อง อายุห่างกัน 13 ปี มาเปิดตัวเป็นครั้งแรกผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ หนิง ปณิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

พี่แหม่มเป็นนางเอกยุค 90’s ที่เป็นลูกครึ่งคนแรกๆ เลย?

แหม่ม : “ใช่ ลูกครึ่งคนแรกๆ เลย”

ตอนนั้นพี่แหม่มเข้าวงการมาได้ยังไง?

แหม่ม : “สมัครมากับพี่จิ๋ม มยุรฉัตร คือประกวดนางงามมาแล้วตัน แล้วความคิดของเด็กคนนึงคือฉันอยากขึ้นไปอยู่บนจอ อยากให้คนดูฉัน แล้วไปเจอข้อความเขารับสมัครพอดี ก็เลยเขียนมาง่ายๆ สั้นๆ แล้วพี่จิ๋มก็มีจดหมายตอบกลับให้มาหาที่ช่อง 3 หนองแขม”

แล้วตอนประกวดได้ตำแหน่งอะไรมาบ้าง?

แหม่ม : “ส่วนใหญ่ได้ที่ 1 ไม่ค่อยพลาด มิสเวิลด์ไปตอนใกล้จะเลิกแล้ว ใกล้ที่จะแขวนรองเท้าส้นสูงแล้ว ปีนั้นไม่มีการจัดประกวดนางสาวไทยไม่มีอะไร เขาจะสุ่มจากสาวงามที่ดังๆ ของแต่ละท้องถิ่น ก็ได้เข้ามาเป็น 1 ใน 3 คน ก็ได้ไปในส่วนของมิสเวิลด์ และท่านต่อๆ ไปก็ไปคนละเวที”

แสดงว่าพี่ก็มั่นใจในความสวยของตัวเอง ถึงไปสมัครเป็นดารา?

แหม่ม : “มันเป็นความมั่นใจของเด็กคนนึง ที่แบบความใฝ่ฝัน ความทะเยอทะยาน”

ตอนที่พี่ดังสุดขีด แต่อยู่ๆ พี่ก็หายเลยเหมือนกัน?

แหม่ม : “ใช่ๆ มันเป็นเหมือนช่วงรอยต่อ เราพลิกมารับบทแม่”

เกิดอะไรขึ้น ณ ตอนนั้น?

แหม่ม : “ไม่ได้เกิดอะไรเลย เพียงแต่ว่าเราเร็วไปกับการที่จะมาเล่นบทแม่ แต่บทแม่ที่รับเนี่ย คุณแม่เพื่อนรัก ของกันตนาตอนนั้น มันเป็นละคร 100-200 ตอน แล้วไม่ใช่คุณแม่แก่ ไม่ได้มีลูก แต่มีเด็กที่เราต้องอุปการะ ก็เลยเรียกแม่ ตอนรับบทแม่ก็อายุประมาณ 30 กว่าแล้ว”

แต่ตอนนั้นก็ถือว่าดังมากนะพี่แหม่ม?

แหม่ม : “ถือว่าโอนะคะ ได้ 2 เรื่องติดของกันตนาเลย”

ที่ผ่านมาเห็นว่ามีการบูลลี่ในเรื่องของหุ่น?

แหม่ม : “ใช่ๆ พี่จะเป็นคนที่อ้วนมากกว่าผอม ที่เห็นว่าผอมคือเราบังคับตัวเรากินยาตลอด”

กินยาลดความอ้วน ตอนนั้นกินอยู่นานไหม?

แหม่ม : “คือมันแทบจะไม่มีช่วงพัก พี่จะเป็นคนที่อ้วนง่ายมาก ด้วยโครงสร้างของพ่อแม่เราเป็นคนตัวใหญ่อยู่แล้ว แล้วเราจะบีบโดยการใช้ยา พี่ไม่ได้มีหมอเดียวในการหาหมอลดความอ้วน พี่มี 3 หมอ เราก็ตระเวนเอายาทุกหมอ แล้วเราก็จะกินต่อเนื่อง แล้วมี 1 ปี ที่ 365 วันไม่มีวันหยุดเลย”

เราไม่เอ๋อ หรือเราไม่หงุดหงิดเหรอ?

แหม่ม : “ถ้ามีอาการจะเปลี่ยนยา จะไม่ฝืนกิน”

ปีนั้นทั้งปีพี่แหม่มกินยาทุกวัน?

แหม่ม : “กลัวหยุดแล้วอ้วน คือถ้ากินของหมอคนนี้วันแรกแล้วมีอาการ กลับไปเลยว่าเราสั่น หัวใจเราสั่นมาก มือเราสั่น หมอจะปรับยาลง”

เวลาที่เราทานยาลดความอ้วนมันจะทำให้เราไม่หิวเหรอ?

แหม่ม : “มันไม่หิว กินน้ำ”

แล้วมันไม่โยโย่เหรอ?

แหม่ม : “นี่ไง นี่คือผลพวงทั้งหมดที่ 10 กว่าปีที่เราทานยาหนักบ้าง เบาบ้าง พอเริ่ม 40-45 ทุกอย่างมันจะมาหมด แล้วจะเอาลงกลับไปยาก ต้องทำความเข้าใจกับสภาพที่มันเกิดขึ้นก่อน”

แล้วสุขภาพมีผลไหม?

แหม่ม : “ช่วงนึงค่อนข้างแย่ เพราะมันมาทั้งรูมาตอยด์ แล้วมาเจอความดัน มาเจอไขมัน คือโรคเสี่ยงพอถึงเวลามันมาเป็นแพคเกจให้เราเลย ก็ต้องเริ่มกลับมาดูแลตัวเองก่อน แต่อาจจะไม่ได้ผอมลง แต่เอาตัวเองให้แข็งแรงก่อน แล้วก็ตัดยาลดความอ้วนทุกอย่าง ณ เวลานี้หลายปีแล้วที่ไม่แตะเลย”

ตอนนั้นที่ตัดสินใจใช้ยา เพราะเป็นความกดดัน?

แหม่ม : “นางเอกต้องสวย ต้องหุ่นดี คือสวยเราได้ แต่หุ่นเราไม่ได้ ด้วยบอดี้เราถ้าเราดูแลบีบไว้มันก็โอเค แต่เป็นคนที่ปล่อยปะละเลยตัวเองในส่วนนี้ มีความมั่นใจในตัวเองสูงไป ก็ทำไมละ สวยอยู่ อ้วนก็ไม่เป็นไร จ้างสิ คิดแบบของเด็ก ณ ตอนนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ มันใช้กับวงการมายาตรงนี้ไม่ได้”

เห็นว่าเคยโดนทัก ถึงขั้นไปร้องไห้ในรถ?

แหม่ม : “ใช่ๆ เขาแซว เวลาอยู่ในกอง เราจะกิน อุ้ย…กินอีกแล้วเหรอ เดี๋ยวก็อ้วน รู้ไหมเนี่ยวันนี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร ก็กินพร้อมกัน ก็เข้าไปนั่งร้องไห้อยู่ในรถ แต่เป็นคนที่เวลาอยู่หน้างานจะหักความทุกข์เราเร็วมาก ให้มันจบไปก่อน ให้มันผ่านไป เราก็จะพยายามไม่นั่น ไม่นี่กับเขา แล้วถ้าคุยได้ก็จะบอกว่า อย่าอะไรกับเราเลย เรามาทำงาน ไม่ใช่เราไม่เครียด ความเครียดเรามีอยู่แล้ว เวลาเราไปกองเจอตัวน้อยๆ คือตอนนั้นจะตอบโต้ค่อนข้างแรง แต่พอมา ณ ปัจจุบัน เราก็จะหักอีกอย่างเพื่อไม่ให้คนเกลียดเรา”

จากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้พี่แหม่มมีอาการคล้ายๆ เป็นโรคซึมเศร้า?

แหม่ม : “ใช่เราจะปิดตัวเองไปเลย ถ้าเห็นว่ามันไม่ไหวก็ไม่รับ ไม่อยากไปปะทะ ไม่อยากให้ใครทัก เวลาเราไปกองเราทำงานเต็มที่ เพราะว่าบทด้วยอะไรด้วย ความเครียดมันสะสม แล้วเก็บไม่ออกไปไหน มันก็กลายเป็นว่ามีกรอบให้ตัวเองหนาเลย”

ก็เลยต้องไปหาหมอ?

แหม่ม : “หาหมอเนี่ย ยอมหาได้ประมาณ 2 ปี แต่มันสะสมมาเป็น 10 ปีแล้ว มันเป็นปมด้อยของเราในเรื่องความอ้วน คือที่เพิ่งยอมไปหาหมอเมื่อ 2 ปี เพราะว่าคือคนสมัยก่อนถ้าเราจะเข้าศรีธัญญาหรือไปหาจิตแพทย์เขาก็มองว่าเราบ้า จริงๆ แล้วมันไม่ใช่นะ พี่เพิ่งเปลี่ยนความคิดว่าวันที่ยอมเดินเข้าไปศรีธัญญาเนี่ย กลายเป็นว่าที่เราป่วยอยู่นิดเดียว คนที่เขาเยอะกว่าเราเยอะมาก เราไปนั่งในนั้นเราดีมาก แต่กว่าที่จะถึงตัวหมอได้ 4 ขั้นตอนนะ เพราะว่าเขาจะต้องเช็ก 1,2,3,4 จนโอเคคุณถึงได้เข้าห้องหมอ”

พอเราได้หาหมอแล้ว รู้สึกว่าชีวิตเราดีขึ้นไหม?

แหม่ม : “หมอให้ยามาปรับ มันกลายเป็นว่าความคิดเราเสถียรขึ้น เราไม่ดิ่งลบ ไม่บวกจนสุดโต่ง”

พี่แหม่มมีหนี้ 20 ล้าน?

แหม่ม : “อันนั้นคือช่วงตั้งแต่ฟองสบู่แตก แบงก์ยึดบ้าน ยึดอาคารพาณิชย์ เพราะเราทำธุรกิจกิ๊ฟช้อป เราก็ต้องยอมทุกอย่างเพื่อปลดหนี้ แต่กว่ามันจะปลดได้มันทบไปเรื่อยๆ จนเรามีความรู้สึกว่ามันสิ้นหวัง”

แล้วหนี้มันเกิดจากอะไร?

แหม่ม : “เกิดจากเวลาเราทำกิ๊ฟช้อป มันจะมีบางตัวที่ตีกลับ ล็อตนึงตีกลับ 5-6 แสนก็มี คือไม่ผ่านเลย เพราะบางตัวเราไปจีน โคมไฟ หมอน รองเท้า กระเป๋า จากอุตสาหกรรม โรงงานเล็กๆ ย่อมๆ มันเยอะ แต่วันนึงมันล้มขึ้นมามันเยอะมาก”

เห็นว่าตอนนั้นถึงขั้นคิดว่าไม่อยากอยู่แล้ว?

แหม่ม : “ใช่ๆ เพราะมีความรู้สึกว่าถ้าตายแล้วคือจบ แต่มันก็มีประเด็นเล็กๆ ขึ้นมาว่า ไม่จบนะ หนี้สินผู้สืบทอดเหมือนว่าพ่อ แม่ ก็ต้องรับผิดชอบ ว้าย…ไม่เกี่ยว ก็เลยไม่ ก็อยู่ต่อ ลองอดทนอีกสักเฮือกนึง อยู่มาจน ณ ปัจจุบันนี้ไม่รู้กี่เฮือกแล้ว”

ทุกวันนี้หนี้ 20 ล้านหมดยัง?

แหม่ม : “หมดแล้ว คือไม่ว่าอะไรคือยอมที่จะเหลือแต่ตัว บ้านไม่มีอยู่ไม่เป็นไร แต่ให้หนี้มันหมด ทรัพย์สินทั้งหมดขายทอดตลาดและชดใช้ไป”

แล้ววันนี้พี่แหม่มอยู่ยังไง?

แหม่ม : “มีคอนโดเล็กๆ ที่เมืองทองอยู่กับลูกสาว 4 ขา ซึ่งคุณหมอแนะนำให้เลี้ยง เราซึมเศร้า เราป่วย เขาคือยาขนานเอก”

หนี้ 20 ล้านมันค่อนข้างที่จะเยอะนะ?

แหม่ม : “เยอะ มันมองไม่เห็นทางว่าจะเอาตรงไหนไปให้เขา แต่มันมีทรัพย์สินตัวบ้าน ตัวอาคารพาณิชย์ รถเบนซ์ อะไรก็ได้ที่มีบอกว่าคุณก็เอาไปเลย แต่ลบศูนย์ให้เรา ก็รอใช้เวลา วันที่ไปเซ็นปลดตัวเองออกมาเนี่ยโล่ง ร้องไห้ วันนั้นที่แบงก์โทรมาแจ้งอยู่กับคุณแม่ แล้วจอดกลางไฟแดงเลย เขาบอกคุณมาเซ็นปลดด้วยนะทุกอย่างจบแล้ว ร้องไห้เลย คือจบ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปสร้างเอาใหม่”

แล้วอะไรที่เป็นจุดเริ่มต้นให้พี่แหม่มมาขายอาหารตามสั่ง?

แหม่ม : “ด้วยงานที่น้อยลงจากสภาพร่างกายเรา แล้วพี่มีความรู้สึกว่าเราต้องช่วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ค้าขายมันคือสายเลือดเรา เราก็มองว่าเราชอบอะไร เราทำอาหารได้ใช่ไหม ก็เริ่มขายจากแก๊สปิกนิคตัวเดียว ขายข้าวไข่เจียว ขายสับปะรดภูแลหน้าตึกตัวเอง แรกๆ ถามว่าอายไหมอาย เพราะมันจะมีคำถามที่เราไม่รู้ว่าเขาตั้งใจถามหรือตั้งใจประจาน แบบไม่มีงานเหรอ ถึงมาขายของก็ร้องไห้นะ แล้วบอกเราต้องสู้ ดีกว่าเราไปขอเงิน ไล่ยืมคนอื่นเขา เราหาเอง ใช้เอง เพราะตอนนั้นยังไม่ได้เลี้ยงหมา ก็แค่ตัวคนเดียว หาเลี้ยงดูแลตัวเองไป”

แล้วพี่จัดการกับความคิดตัวเองยังไง เพราะตอนนั้นเราก็ป่วยด้วย?

แหม่ม : “อันแรกเลยสติมา แล้วยอมรับก่อน ยอมรับว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญปัญหาแบบนี้ๆ ค่อยๆ ไล่แก้”

ยากไหมกับการที่จะยอมรับมัน จากสูงสุดเลย?

แหม่ม : “ยากๆ สูงสุดคืนสู่สามัญ ยากมาก ร้องไห้แบบถ้าเอามาเป็นสระว่ายน้ำไม่รู้คูณเท่าไหร่ เราแก้ปัญหาด้วยการไม่พูดไม่บอกใคร เรานั่งร้องไห้ นั่งเกาะหน้าต่าง เดี๋ยวก็เช้าแล้ว ชีวิตมันต้องหาจุด อุ้ย เดี๋ยวมีละครตอนบ่าย ฉันอยากดูเรื่องนี้ มันต้องหาจุดไปเรื่อยๆ”

ตอนนั้นเพื่อนๆ ในวงการบันเทิง หรือคนที่เราทำงานด้วยเขาได้ทราบเรื่องไหม?

แหม่ม : “ไม่ ตัดหมดเลย ไม่ไปไหนเลย 1.เราไม่มีงานทุนที่เราพอมี เราเก็บเนี่ย เราต้องใช้ทุกอย่าง อย่างประหยัด จะไปออกงานทีนึงก็ต้องสวย แล้วมันก็ไม่ได้ เพราะเราไม่มีทุนทรัพย์ที่จะออกไปนู่นนี่นั่น มันก็เลยตีกรอบไว้แล้วอยู่กับที่ ชีวิตที่เคยอยากได้อะไร แป๊บๆ ซื้อ ทุกวันนี้เก็บเงินเป็นเดือนกว่าจะได้ของ”

พี่แหม่มเปิดร้านอยู่นานไหม?

แหม่ม : “เปิดหน้าตึกประมาณ 4-5 ปี แล้วย้ายไปอยู่ด้านข้างซึ่งเป็นช้อปสั้นก็เริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา พอเริ่มอยู่ตัว เริ่มมีลูกค้า ทุกคนรู้จักในนามแม่ค้าสายติสท์ เริ่มรู้ว่าพี่แหม่มขายตรงนี้นะ พี่แหม่มมาทำอาหารนะ วันไหนมีจ๊อบ มีละครก็ไปก็ปิดร้าน เขียนว่าวันนี้ทิ้งกระทะไปเป็นดาราแป๊บนะ”

เห็นว่ามีเพื่อนชวนไปทำงานที่เกาะ?

แหม่ม : “ใช่ๆ ก็คิดว่าน่าจะดี ก็อยากออกไปแตะขอบฟ้า แต่ร่วง คือเมืองเกาะจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมันจะมีหน้าโลว์ หน้าไฮท์ แล้วเราไปในจังหวะที่มันจะวิกฤต แล้วพอหน้าโลว์ฝรั่งจะน้อยมาก พี่จะไปอยู่ในส่วนของครัวไทย แล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง พอถึงจุดนึงมันไม่ใช่แล้ว ความที่เราเป็นนายคัวเราเองตลอด การรับคำสั่งบางครั้ง การพูดไม่เป็น สื่อสารกันไม่ถูก บอกเขาว่าเราไม่ทำแล้ว อยากออกจากเกาะ”

ร้านที่กรุงเทพฯ คือปิดไปเลยไหม?

แหม่ม : “เซ้งเลย แล้วเราก็ไปเกาะประมาณ 1 ปี แล้วก็ออก เพื่อนก็ชวนมาเชียงใหม่ แต่เชียงใหม่เราลงทุนเองเลย แต่ก็ไม่ได้หนักมาก เพราะว่าร้านเขามีโต๊ะ เก้าอี้ ให้เรายืมอยู่แล้ว ก็เหมือนจะดี แต่เจอเผาป่าไปเมื่อปลายปี แล้วเริ่มโควิดเริ่มต้น ซึ่งจากที่เคยขายได้ 5-6 พันต่อวัน เหลือบางวันไม่ถึง 500 แล้วนักท่องเที่ยวจีนหายหมดเลย เพราะร้านที่เราตั้งอยู่แม่ริม ก็เลยเริ่มไม่ไหว โอเคถ้างั้นเราหยุด”

พอเจอสถานการณ์ไฟป่า โควิดระลอกแรก ได้ทุนคืนไหม?

แหม่ม : “ไม่ได้ แต่เราก็ได้เซ้งของทั้งหมด แล้วตอนนั้นแทบไม่มีเงินเลย ก็เลยเปิดว่ามีปัญหาเรื่องค่ารถ เราจะขายน้ำปลาหวานช่วยเราซื้อหน่อย fc แฟนๆ เพื่อนๆ ก็ช่วยกันสั่ง ก็ได้มา แล้วได้ตอนเซ้งร้านมานิดหน่อยก็ได้กลับกรุงเทพฯ กลับมาถึงเขาก็ล็อกดาวน์เลย”

พอจะบอกได้ไหมว่าตอนนั้นเหลือเงินอยู่เท่าไหร่?

แหม่ม : “ตอนนั้นมีแฟนละครเขาสั่งน้ำปลาหวาน สั่ง 500 แต่โอนให้ 5,000 เขาก็บอกว่าช่วยค่าน้ำมันจะได้มีทุนไปทำต่อนะ ออกมาจากเชียงใหม่โดยที่เราไม่ได้เป็นหนี้ใครเลย มีมาไม่กี่หมื่น”

กลับมากรุงเทพฯ ก็เจอล็อกดาวน์ แล้วพี่แหม่มทำยังไง?

แหม่ม : “มันบอกตัวเองว่าเจอหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ตอนนั้นยังกลับมาทำอะไรไม่ได้เพราะเราไม่มีทุน ก็ทำข้าวไปฝากขายร้านข้างล่าง 5-10 กล่อง ได้ 100-200 ก็ได้หยอดค่าน้ำค่าไฟ เพราะเราไม่มีค่าเช่า ห้องเป็นของเรา ก็ทำอย่างนี้ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางวันลง 8 กล่อง ยืนลุ้นจนเที่ยงคืน แต่ก็ต้องสู้ มันไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะช่วงนั้นงานมันไม่มีอยู่แล้ว”

พี่กลัวการเริ่มต้นใหม่ในอีกหลายๆ รอบไหม?

แหม่ม : “ไม่กลัวเลย ถ้าเรายังมีแรงที่จะทำได้ พี่มีความรู้สึกว่าไม่อยากแบบลำบากนะ ขอยืมเงินหน่อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเราหาได้แค่ไหนเราใช้แค่นั้น แล้วเรามีจุดว่าฉันอยากได้อันนี้เมื่อก่อนฉันก็เคยได้แล้ว ฉันอยากไปตรงนี้เมื่อก่อนฉันก็เคยไปแล้ว อย่างน้อยๆ ฉันก็เคยไปมาเกือบครึ่งโลก ในขณะที่บางคนเขาไม่เคยไปไหนเลยก็ได้ มันก็จะทำให้เราไม่ต้องไปเครียดอะไรมากมาย เพราะมันเลยจุดตรงนั้นมาหมดแล้ว เพียงแต่ว่าฝันตัวเองข้างหน้า ถ้าทำได้อยากทำต่อไป”

ทุกวันนี้พี่แหม่มมีภาระอะไรอยู่บ้าง?

แหม่ม : “เหลือรถ ถามว่าเยอะไหมก็ไม่เยอะหรอก ถ้ามีละครเข้ามา ถ้าโปะก็น่าจะจบ”

ตอนนี้มีงานในวงการไหม?

แหม่ม : “ได้ของคุณเอ เรื่องแม่เบี้ย แล้วก็มาได้ของกันตนา 2 เรื่อง”

เรื่องความรักเจอกันยังไง?

แหม่ม : “มันเป็นโควิดแรกแล้วหัดเล่น TikTok ให้น้องที่รู้จักสอน แต่เล่นไม่เป็นก็เข้าไปส่อง แล้วก็เริ่มโพสต์เริ่มอะไร เราก็ไม่ได้สนใจ มีคนดู 2-3 คนเอง แล้วส่องไปเรื่อยก็ไปเห็นเขา”

ปิ๊งเลยไหม?

แหม่ม : “ไม่ ตอนนั้นก็คุยอยู่หลายคน เราก็หมาหยอกไก่ไปเรื่อย ยังไม่คิดว่าจะมีเป็นแฟน เป็นอะไร เพราะว่าเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียวแล้วเราสบายกว่า เราไม่อยากเอาใครมานู่น นี่กับเรา เพราะว่าคนที่คลิกตรงกันมันค่อนข้างยาก”

พอเราเห็นพี่แหม่มเข้ามาคอมเมนต์ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง?

เก่ง : “ก็ยังไม่ได้คิดอะไร ก็พิมพ์กลับ พิมพ์เล่น ถามว่าตอนนั้นรู้จักเขาไหม ก็รู้จัก แต่ว่าไม่ได้อะไร”

แล้วมาเริ่มต้นอะไรตอนไหน?

เก่ง : “ก็คุยแซวกันไป”

แหม่ม : “มีอยู่วันนึงมั้งพี่ไลฟ์สดใน TikTok อ่อเป็นคลิปแล้วร้องไห้ เขาก็เข้ามาบอกว่าอย่าร้องไห้ สู้ๆ นะ ก็เลยจุดประเด็นกันขึ้นมานู่นนี่นั่น ก็เลยคุยกัน”

ทำไมต้องเป็นสาวหล่อทั้งหมดที่พี่คุยอยู่ 4-5 คน?

แหม่ม : “พี่สายแฟนผู้หญิงมาตั้งแต่เข้าวงการแล้ว พี่ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ว่าไม่ได้มานั่งเปิดว่าฉันชอบผู้หญิงนะ พี่อยากอยู่ในโลกของพี่ คือคนชอบก็มี คนไม่ชอบก็มี เราผู้ใหญ่แล้วไม่ต้องมาโอเวอร์อะไรกันมากมาย อันนี้เขาขอ ไม่งั้นไม่ให้ออก”

พี่แหม่มเคยมีแฟนผู้ชายไหม?

แหม่ม : “มีคุย แต่ว่ามันไม่พัฒนาไปตรงไหน อาจจะด้วยเรามีแฟนผู้หญิงมา ในความรู้สึกของพี่ผู้หญิงเขาค่อนข้างดูแล เขาค่อนข้างเทคแคร์ หรือเราเจอผู้ชายที่ยังไม่ตรงกับเราก็ได้ มันก็ผ่านไป”

แล้วจาก TikTok ทำยังไงให้โคจรมาเจอกัน?

แหม่ม : “พอเริ่มอันนี้ปั๊บก็อินบ๊อกซ์คุยกัน แล้วคุยกันผ่านกล้อง คุยกันจนโอเคพี่ก็ตัดรอบตัวทิ้งหมดเลย เหลือเขาคนเดียวเข้ารอบ”

มาเจอกันครั้งแรกตอนไหน?

แหม่ม : “เขาลงมาทำธุระที่กรุงเทพฯ ให้น้า เขาอยู่ลำปาง ก็เลยนัด งั้นเธอก็มาหาฉันที่ตึกแล้วกัน พี่ก็จะอยู่ในร้านเพื่อน เขาก็จะเดินมาหันไปพูดกับเพื่อนว่าไม่เอา เดินตัวกลมมาเชียว เขาตัวเล็กกว่า เตี้ยกว่าอีก แล้วเราหมดสิทธิ์ใส่ส้นสูง แต่ก็เรียกเขามาคุยกัน วันแรกเขามีของฝากด้วยนะ เป็นพวกกิ๊ฟอะไรอย่างนี้ เพราะพี่จะเอามาแต่งเล่น TikTok ไง ลืมไว้ในแท็กซี่”

คุณเก่งตอนที่มาเจอพี่แหม่มครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง?

เก่ง : “รู้สึกชอบพี่แหม่มอยู่แล้ว พี่แหม่มเขายิ้มสวย พอเจอตัวจริงก็ยิ้มสวยจริงๆ”

แล้วตัดสินใจว่าเราจะคบกันแล้วนะตอนไหน?

แหม่ม : “ต่างคนต่างถาม พี่ก็ต้องถามตัวพี่เอง พี่จะต้องคิดเยอะ คิดหนัก การที่เราอยู่คนเดียวมาตลอดเวลา ขนาดน้องมา หลานมาเกิน 3 วัน ยังมองหน้าเลย จนน้องบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับแล้ว โลกส่วนตัวเราสูงมาก ก็ต่างคนต่างไปถามกัน นี่ก็ถามตัวเองอย่างน้อยๆ เขาก็มาตรงคอนเซ็ปต์ที่เราอยากได้ เราอยากได้น้อง เราอยากได้เพื่อน แล้วสุดท้ายเราก็อยากได้แฟน แต่คำว่าแฟนของเรานิยามแล้วแต่ใครจะคิด แต่พี่มีเพื่อน มีคนดูเรา เพราะ 1.ด้วยสุขภาพด้วยอะไรด้วย แล้วก็มาช่วยกันทำมาหากิน พี่ก็บอกพี่ไม่มีอะไรนะก็แค่ดาราแก่ๆ อ้วนๆ คนนึง ไม่มีสมบัติที่จะให้ใครมาเอา เราต้องทำไปด้วยกัน”

แล้วคุณเก่งว่าไง พอเจอคำพูดแบบนี้?

เก่ง : “ก็คิดอยากจะมีอะไรเป็นของตัวเองด้วย แล้วพี่แหม่มชวนก็เลยมาอยู่ด้วยกัน”

ตอนนี้คบกันมานานหรือยัง?

แหม่ม : “23 กันยายน ครบ 1 ปี”

แล้วพอมาจริงๆ แล้วเป็นยังไง จากที่แหม่มเป็นคนโลกส่วนสูง?

แหม่ม : “3 เดือนแรกคิดว่าไม่รอด เพราะเขาจะเป็นคนที่คิดเอง เออเอง เขายังเด็กไง แต่เราผ่านอะไรมาเรื่องแค่นี้ขี้เกียจอธิบาย บางทีนางก็ไปนอนกระฟืดกระฟาด  เราก็บอกว่าถ้าเป็นแบบนี้กลับบ้านไป”

พี่แหม่มดุไหม?

เก่ง : “เวลาองค์ลงก็นิดนึง”

แหม่ม : “เขาไม่ค่อยทัน เขาไม่ได้ดั่งใจในเรื่องงาน”

เก่ง : “พี่จะไม่ค่อยรู้ องค์ลงตอนไหนก็ไม่รู้ เราก็ตีมึนใส่”

แหม่ม : “เมื่อก่อนนี้ล้างจานยืนร้องไห้ไป แต่พอคุยกันก็บอกว่าเราเป็นคนแบบนี้ บางทีเราเครียดเราต้องพูด เธอต้องเข้าใจฉัน บางทีฉันพูดจนหมาฉันเดินเข้าห้องไปเลยมันไม่ฟังฉันแล้ว เธอก็ต้องเป็นคนฟังฉัน เขาก็ปรับ พี่ก็ปรับ คือปรับเข้าหากัน ทุกวันนี้อยากจะโกรธ นางก็จะตีมึนยิ้ม จนเราโกรธไม่ลง”

แล้วทำไมพี่ถึงเลือกคุณเก่ง?

แหม่ม : “พี่ขอบแววตากับรอยยิ้มเขาจริงใจ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องมาอะไรมาก แล้วก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้”

ห่างกันกี่ปี?

แหม่ม : “พี่ 56 เขา 43 ก็ห่างกัน 13 ปี”

มีแพลนอนาคตไว้ไหม ถึงขั้นจัดงาน?

แหม่ม : “ไม่ๆ อายุมากแล้วอายเขา คืออยากได้บ้านเล็กๆ ไม่อยากอยู่คอนโด แต่ว่าเราต้องเสียสละคนนึง เพราะมันต้องมีสลิปเงินเดือนในการขอกู้ แล้วก็ไปขายอาหารที่บ้านเลย แล้วเผื่อวันนึงพี่เป็นอะไรไป เขาก็จะได้มีสมบัติในส่วนของเขา คือมาอยู่มันต้องดีขึ้น ไม่ใช่อยู่แล้วมันถอยหลัง เพราะเขาต้องเสียสละที่ต้องมาจากน้าเขา จากพี่น้องเขา เราก็ต้องคิด แต่ว่านาทีนี้ยังขยับอะไรไม่ได้ ด้วยสภาวะตอนนี้ที่มันเกิดโควิด ก็ประครองให้รอดปีนี้ไปก่อน”

พี่แหม่มเคยไปเจอครอบครัวคุณเก่งไหม?

แหม่ม : “เคยเจอพี่สาว เพราะเป็นช่วงโควิดก็เจอไม่ได้ ก็ต้องรอ พี่ก็ต้องเซฟตัวเอง”

เก่ง : “พี่สาวเขาก็ชอบพี่แหม่มอยู่แล้ว”

แหม่ม : “น่ารักทุกคน ก็ฝากเก่งด้วย”

ด้วยอายุที่ห่างกัน 13 ปีมันมีผลอะไรไหม?

แหม่ม : “ในความคิดของพี่นะ ก็ผู้หญิงเหมือนกัน ไม่มี จะอ้วนจะผอมยังไงเขาก็ต้องรักพี่ ผู้หญิงมันไม่ค่อยซับซ้อน แต่อาจจะเป็นเพราะพี่เจอคนที่เลเวลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ชอบ หรือชอบก็บอก ตอนนี้สภาวะฉันเป็นอย่างนี้อย่าเพิ่งอะไรกับฉันเยอะนะ เราก็จะบอกไว้ก่อนเป็นแนวทาง เขาจะได้ไม่ตกใจเวลาพี่องค์ลง ก็จะบอกกันคุยกัน คือต้องคุยกันเป็นหลัก ไม่ว่าหญิงหรือชายคุยกันก่อนให้รู้ว่าพื้นเรามา เราเจออะไรมาบ้าง มันก็จะได้สบายใจกันทั้งคู่”

บอกความในใจกันหน่อยได้ไหม?

แหม่ม : “รักอ้วนแหละ แล้วก็หวังดีทุกอย่าง บางทีดุไป ว่าไป วันนึงถ้าไม่มีเราคุณจะรู้ว่าสิ่งที่เราพร่ำสอนมันเอาไปใช้ได้ เราหวังดี เอาลูก เอาหลานเขามา เราก็อยากให้มีความสุข กินขนมให้มันน้อยๆ หน่อย”

เก่ง : “อยากให้พี่แหม่มมีความสุขแล้วก็จะทำทุกวันให้ดี อยู่ด้วยกันแล้วช่วยกันทำมาหากิน”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง