จากกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ออกมาตรการป้องกันการทุจริตทางการเงิน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและหลายรูปแบบ ทั้ง SMS หลอกลวง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอปพลิเคชันให้สินเชื่อปลอม และแอปพลิเคชันดูดเงิน
สำหรับมาตรการต่างๆ เพื่อปิดช่องมิจฉาชีพนั้น ได้แก่
1.งดส่งลิงก์ทุกประเภท ผ่าน SMS อีเมล์ และงดส่งลิงก์ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย
2.จำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละสถาบันการเงินให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น
3.สถาบันการเงินต้องจัดให้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และพัฒนาระบบความปลอดภัยบน mobile banking ให้เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา
4.ยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วยการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของลูกค้า เช่นสแกนใบหน้า กรณีเปิดบัญชีโดยแอปพลิเคชัน หรือทำธุรกรรมผ่าน mobile banking ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น โอนเงินมากกว่า 50,000 บาท หรือปรับเพิ่มวงเงินทำธุรกรรมต่อวันเป็นตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป
5.กำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด
แบงก์ใดบ้าง ต้องยืนยันตัวตนก่อน เดือน พ.ค.66
จากมาตรการดังกล่าว ทำให้ขณะนี้ ธนาคารหลายแห่งแจ้งให้ผู้ใช้บริการโมบายแบงกิ้งของแต่ละธนาคาร นำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตน พร้อมสแกนใบหน้า ในกรณีที่ต้องทำธุรกรรมบางอย่าง อาทิ
1.ธนาคารกรุงเทพ
– รายการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ยอดสะสมต่อวัน ครบทุก 200,000 บาท
– ปรับเพิ่มวงเงินโอนเงิน จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน
2.ธนาคารออมสิน
– รายการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ยอดสะสมต่อวัน ครบทุก 200,000 บาท
– ปรับเพิ่มวงเงินโอนเงิน จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน
3.ธนาคารไทยพาณิชย์
– รายการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ยอดสะสมต่อวัน ครบทุก 200,000 บาท
– ปรับเพิ่มวงเงินโอนเงิน ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
ขั้นตอนยืนยันตัว
1.นำบัตรประชาชนไปอัพเดตข้อมูลที่สาขา
2.ถ่ายรูปใบหน้าที่ธนาคารแต่ละสาขา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ธนาคารกรุงไทย ประชาสัมพันธ์ ยืดเวลา คิดค่าธรรมเนียมการถอนเงินสดแบบไม่ใช้บัตร
by TVPOOL ONLINE