เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

กรณีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่เสียชีวิตบริเวณป่าภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก หมู่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ขณะนี้ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ ต่อมากลายเป็นที่จับตามองอย่างมากเมื่อนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ เปิดใจยอมรับว่าสงสัยลุงพลนั้นเป็นผู้ก่อเหตุกับน้องชมพู่ ซึ่งทางด้าน ลุงพล ทนไม่ไหว ประกาศตัดญาติทันที พร้อมแฉความลับของแม่น้องชมพู่ ว่าไม่เคยขึ้นไปภูเหล็กไฟเลย ไม่ยอมไปดูสถานที่เกิดเหตุเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนชาวบ้านต่างสงสัยและพูดกันต่างๆนาๆ หรือกำลังกลัวอะไรบางอย่าง

ต่อมา เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2563 กรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เชิญ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชี้แจงการปฏิบัติงาน ในการสืบสวนหาคนร้ายในคดีน้องชมพู่ เสียชีวิตปริศนาในป่า จ.มุกดาหาร  เนื่องจาก คดีนี้ที่มีการเรียกประชาชนมาสอบสวนมากเกือบ 1,000 คน จึงตั้งคำถามว่ามีธงต้องการหาแพะมารับโทษเพื่อปิดคดีหรือไม่

ซึ่งทางด้าน พลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ยืนยันว่าการให้ข่าวเรื่องนี้ตำรวจให้ข่าวน้อยมาก โดยยืนยันการสืบสวนคดีนี้เริ่มจากตำรวจในท้องที่ และมีการมีการประสานให้ทีมสืบสวนส่วนกลางเข้าข่าย เพราะมีความยากลำบากในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนที่ต้องตรวจดีเอ็นเอ เพราะมีการพบวัตถุพยานหลายอย่างจากร่างกายของน้องชมพู่ การตรวจดีเอ็นเอจึงจำเป็นเพื่อหาว่าใครมีความเกี่ยวพันธ์บ้างและประชาชนกว่า 900 คนที่เป็นข่าวถูกเรียกสอบ เป็นแค่การพูดคุยกัน ไม่ได้เป็นการบังคับหรือ ละเมิด ทุกคนที่พูดคุยด้วยความสมัครใจและคดีนี้พยานจริงๆ ในสำนวน เพียง 63ราย และที่ผ่านมาไม่เคยมีประชาชนการร้องเรียนว่าถูกตำรวจคุกคาม และการเก็บดีเอ็นเอ ทำตามกฎหมายมาตรา 131 ป.วิอาญา มีการเก็บดีเอ็นเอ เพียง 100กว่ารายเท่านั้น คดีอื่นบางคดี มีการเก็บดีเอ็นเอมากกว่านี้

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่าคดีนี้ เป็นคดีแรกในชีวิตที่มีประเด็นให้นำเสนอข่าวทุกวัน ยืนยันว่าไม่มีใครกดดันเจ้าหน้าที่ได้ แต่การนำเสนอข่าวทำให้การทำงานยากขึ้นบ้าง ยืนยันว่าข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ ตำรวจรับฟังทุกด้าน มีการฟังพยานจากทุกคน แต่ต้องแยก ข้อเท็จจริง กับ ข้อสันนิฐาน ให้ออก เพราะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่ตอบทั้งหมด การสืบสวนต้องดูทุกอย่างประกอบกัน ส่วนประเด็นตั้งธงหาแพะรับโทษนั้น นืนยันว่าการทำคดีไม่ได้จำเป็นที่ต้องจับคนร้ายได้ทุกคดี แม้จะตรวจดีเอ็นเอ 700-800 บางคดีก็ยังจับไม่ได้ หลายเรื่องทำเป็นปีๆก็ยังไม่จบ ย้ำว่าคดีนี้ไม่มีทางกดดันได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน กดดันให้ตายยังไงก็ทำไม่ได้ ตำรวจไม่เคยทำนอกกติกา

ส่วนประเด็นละเมิดทางเพศนั้น ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ กรรมการแพทยสภากล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีกรรมการขึ้นมาเปรียบเทียบการผ่าศพ 2 ครั้ง เหมือนกับคดีนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เพื่อผ่าครั้งที่3 ว่าแตกต่างอย่างไร ซึ่งให้แพทยสภารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ เพราะคดีนี้พฤติการณ์ตายยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรแต่กลับมีการข้ามขั้นไปตรวจดีเอ็นเอหาสาเหตุการตายแล้วซึ่งมีมันเป็นเรื่องยาก เพราะศพเน่าไปแล้ว ดังนั้นต้องหาสาเหตุการตายให้ได้ก่อนว่ามีข้อสันนิษฐานอย่างไร

ด้าน พ.ต.ต. นพ.ณัฐพงศ์ กิตติโสภณพันธุ์ แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ ยืนยันว่าการชันสูตรครั้งที่2 ที่พบบาดแผลฉีกขาดบริเวณอวัยวะเพศจริง แต่อาจเกิดจากการผ่าครั้งแรกหรืออาจเกิดจากการเคลื่อนย้ายศพ จึงยืนยันไม่ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่สามารถสรุปสาเหตุการตายได้ว่ามาจากอะไร เพราะพฤติกรรมการตาย ไม่สามารถตอบได้แน่ชัด ว่ามีใครทำให้ตายหรือไม่

ขณะที่ นพ.ศักดิ์สิทธิ์ บุญลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผู้ผ่าชันสูตรศพน้องชมพู่คนแรก ยืนยันว่าไม่มีบาดแผลที่ส่งผลถึงแก่ความตายไม่มี มีเพียงบาดแผลที่เป็นรอยขีดข่วนเท่านั้น

ต่อมา ทางเพจ ออยศรีและผองเผือก โพสต์ข้อความระบุว่า ขอไม่พูดเรื่องภาษากาย มีผู้คนมากมายติดใจสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อการเปิดรับบริจาค จุดเริ่มต้นคือเอาน้องไปซ่อน วันที่ 11 กลางวันน้องอาจจะไม่ได้หายแต่ก็ให้หลบอยู่ในบ้านพอค่ำก็เอาน้องไปซ่อนกันบนเขา แต่อาจจะมีการดูแลที่ดีโดยการปล่อยไว้คนเดียวแต่มีคนแอบดูใกล้ๆตลอด ที่ให้ทำแบบนั้นเพราะว่าถ้าหลังจากเอาน้องกลับมาแล้วถ้ามีใครถามน้องน้องก็จะบอกว่าหลงไปคนเดียว อยู่คนเดียว คือเพราะคืนวันที่ทุกคนขึ้นไปตามหาเกือบถึงจุดเจอน้องแล้วแต่พ่อกลับบอกทุกคนแบตไฟพ่อจะหมดซึ่งไม่รู้ว่าพ่อเปิดต่อยาวลงมาถึงบ้านไหม แล้วเหตุผลไหนที่คนหลายคนจะหันหลังกลับกันหมดจากเพียงแค่คนๆเดียวไฟจะหมด ที่จำเป็นต้องสงสัยเรื่องนี้ก้วยเพราะว่า หลังจากเจอร่างน้องแล้วน้าก็แจกเลขบัญชีราวกับคนทั้งประเทศร้องขอเพื่อนจะโอนไปให้ ไม่พอในไลฟ์สดยังคงพูดอีก ในไลฟ์นี้พูด2รอบแต่ขอตัดมารอบเดียว ตอนแรกศรีก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเงินบริจาคมาคิดเยอะจนในไลฟ์เห็นทางคุณน้าเขาระบุว่าจะทำบุญแล้วเอาเงินที่เหลือเป็นทุนการศึกษาให้ดิ้ง พี่สาวชมพู่ แล้วบอกคือง่ายๆว่าไม่ต้องห่วงเงินจะเอาไปทำประโยชน์แน่นอน ชวนบ่อย ชวนเก่งเกิ๊น.. แล้วมันก็คนละวัตถุประสงค์ด้วย ดูมีความแทรกความดราม่าไว้ในรูปแบบที่ไม่มีน้ำตา คือเจตนาแรกเริ่มอาจจะไม่ตั้งใจให้ตายแต่มันพลาดไปแล้วการบริจาคจากคนไทยที่แสนใจดีควรเดินหน้าต่อแต่คดีพลิกไปหมด แบบนี้พอมีความเป็นไปได้ไหมคะ

#ส่วนตัวอยากถามแค่ว่าเงินทำบุญที่คนบริจาคตอนนี้เท่าไหร่แล้ว แล้วทำไมต้องนำเสนอว่าจะเอาไปให้ดิ้งเป็นทุนการศึกษา และอยากรู้ว่าใครหนักหนาขอเลขบัญชี น้องดิ้งเสียเสาหลักครอบครัวหรือเสียน้องสาวด้วยน้อย ทำไมเอาน้องมาหาเงินทำบุญไปทำแบบนั้น

ล่าสุด ในรายการ ข่าววันศุกร์ ทางช่อง one จั๊ด ธีมะ เป็นพิธีกร โดบพูดถึงประเด็น เงินบริจาค น้องชมพู่ อยากทราบจังเลย ใครได้รับผลประโยชน์สูงสุด โดยถอนมาส่วนหนึ่งใช้งานศพ  ต้องมีคนเรียกร้องให้เอา สเตทเม้นท์ มากางเลย ใครบริจาคมาจากไหนบ้างอยากรู้จังเลย เป็นเงินกี่บาท เบิกไปใช้งานศพกี่บาท เหมาสมกับการเผาศพน้อง ด้าน นรินทร์ หลาบโพธิ์ ผู้ที่เปิดรับเงินบริจาค โพสต์ข้อความว่า เหรียญมีสองด้าน..วันนี้หลายๆท่านอาจจะไม่เข้าใจ